Tag Archives: วัฒนธรรม

งาช้าง การค้า…ความเชื่อ

“งาช้าง” สัญลักษณ์ความบริสุทธิ์ เป็นมงคล ความเชื่อในพลังอำนาจ ช่วยฟันฝ่าอุปสรรค แคล้วคลาดจากภยันตรายเอาชนะเหล่าศัตรูหมู่มารได้ จึงมีผู้แสวงหาเพื่อมีไว้ในครอบครอง

ลายทองเหรียญ มีพันธุ์ เจ้าของปางช้างอยุธยา เล่าว่า ความเชื่อเรื่อง “งาช้าง” มีหลายตำนาน แต่ที่เขาฟังมาคือ “ปรศุราม” องค์อวตารของวิษณุเทพ ใช้ขวานที่ยืมมาจาก “พระศิวะ” ขว้างใส่ “พระคเณศ” พระองค์จำใจต้องใช้งาข้างซ้ายรับขวานนั้น

งาข้างนั้นจึงเรียกว่า “งากำจัด” เกิดเป็นความเชื่อ ความศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุที่ “พระคเณศ” ทรงมีความกตัญญูเป็นอย่างยิ่งในตัวพระบิดา หากครั้นจะต่อสู้กันไปก็อาจทำได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรกับการทำลายฤทธิ์เดชของอาวุธซึ่งเป็นของบิดาตนเอง

การบูชา “งาช้าง” ถือว่าเริ่มต้นที่เคารพต่อเทวดา

นอกจากนี้ คุณค่าของ “งา” ยังมาจาก ลำดับสายพันธุ์ เกิดความเชื่อที่ว่างาที่ได้จากช้างออกศึก จะทำให้ผู้ครอบครองชนะการทำศึกทุกครั้ง Continue reading

ตำนานความเชื่อเรื่องงาและหางช้าง…ของชาวสุวรรณภูมิ

11113709_777231582393739_9205376866475906977_n

งาช้าง สัญลักษณ์ความบริสุทธิ์ เป็นมงคล ความเชื่อในพลังอำนาจ ช่วยฟันฝ่าอุปสรรค แคล้วคลาดจากภยันตราย เอาชนะเหล่าศัตรูหมู่มารได้ จึงมีผู้แสวงหาเพื่อมีไว้ในครอบครอง

หนึ่งในตำนานเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของงาช้างคือเรื่องราวของ “ปรศุราม” องค์อวตารของวิษณุเทพ ใช้ขวานที่ยืมมาจาก “พระศิวะ” ขว้างใส่ “พระคเณศ” พระองค์จำใจต้องใช้งาข้างซ้ายรับขวานนั้น งาข้างนั้นจึงเรียกว่า “งากำจัด” เกิดเป็นความเชื่อ ความศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุที่ “พระคเณศ” ทรงมีความกตัญญูเป็นอย่างยิ่งในตัวพระบิดา หากครั้นจะต่อสู้กันไปก็อาจทำได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรกับการทำลายฤทธิ์เดชของอาวุธซึ่งเป็นของบิดาตนเอง

การบูชาช้าง ถือว่าเริ่มต้นที่เคารพต่อเทวดา นอกจากนี้ คุณค่าของ “งา” ยังมาจาก ลำดับสายพันธุ์ เกิดความเชื่อที่ว่า “งา” ที่ได้จากช้างออกศึก จะทำให้ผู้ครอบครองชนะการทำศึกทุกครั้ง

สำหรับคนไทยทุกยุคทุกสมัยจะมีความเชื่อ และการครอบครองงาช้างว่าช้างไทยมี “องค์” คอยปกป้อง จึงนิยมนำงาช้างมาบูชาในวัด ในโบสถ์ ส่วนหนึ่งนิยมให้เป็นของกำนัลแก่ “เจ้านาย” เพราะถือเป็นผู้มีบุญญาธิการ Continue reading

วัฒนธรรมสยาม กลัวเมียแต่เจ้าชู้?

ทำไมวัฒนธรรมครอบครัวไทยมันถึงได้แปลกประหลาดแบบนี้

14937439_1167937036627720_1821332218062663841_n

เรื่องเริ่มมาจากตอนที่ผมคุยกับฝรั่งคนนึงที่แต่งงานกับไทยอีสาน แล้วเกิดคัลเจอร์ช็อค

ทำไมวัฒนธรรมครอบครัวไทยมันถึงได้แปลกประหลาดแบบนี้?

เราต้องเข้าใจก่อนว่าวัฒนธรรมครอบครัวของไทยตอนนี้นั้นเกิดจากผสมกันระหว่างความคิดที่มีอยู่ก่อน ตั้งแต่สมัยก่อนไทยถูกทำให้เป็นสมัยใหม่ และค่านิยมที่เกิดขึ้นโดย ร.5 – คณะราษฎร์

อย่างแรกเลย ลืมภาพละครย้อนยุคทั้งหมดทิ้งไป นั่นเป็นค่านิยมที่ไม่เป็นจริงในสยามสมัยนั้นครับ

หมอสอนศาสนาที่ไปเผยแผ่ศาสนาแถบอีสาน ในสมัย ร.5 เคยอธิบายถึงเหตุการณ์แปลกประหลาดไว้ว่าวันหนึ่งลูกหาบที่เขาจ้างไว้ทำงาน ก็มาหาตอนค่ำๆ และบอกว่าโดนเมียไล่ออกจากบ้านแล้ว ขอทำงานรับใช้ประจำเลยได้มั้ย อาทิตย์ต่อมาเมียของชายคนนี้ก็มีผัวใหม่

หมอสอนศาสนาตกใจมาก เพราะจารีตแบบคริสต์นั้น การหย่าเป็นเรื่องยากมากๆ แต่สำหรับชาวสยามนั้น การหย่าเกิดขึ้นง่ายๆเพียงแค่เมียเอาข้าวของผัวโยนออกนอกหน้าต่างแล้วไม่ให้เข้าบ้านเท่านั้นเอง

ในบ้านที่มีจารีตแบบคนจีน และขุนนางไทย ผู้ชายจะเป็นใหญ่ในบ้าน แต่ชาวบ้านรอบนอกซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ไม่เป็นเช่นนั้น

เหตุเพราะ Continue reading

ศิลปะการชงชาแบบจีน สุดยอดวิชาฝึกจิต! สมาธิดี-เรียนดีขึ้น

นักเรียนไทยในไต้หวัน ชี้พิธีชงชาจีนเจ๋ง ช่วยฝึกจิตสร้างสมาธิในการเรียนให้ดีขึ้นได้ เผยมหาวิทยาลัยในไต้หวันจัดเป็นคอร์สเสริมนักเรียนต่างชาติ พร้อมสอนวิธีชงชาที่ถูกต้องตามหลักศิลปะจีนโบราณ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านใบชา แนะ 4 ปัจจัยเสริมชงชาจีนให้ได้รสชาติดี

ยุค สมัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สังคมยิ่งเข้าสู่ความวุ่นวายมากเท่าไร คนเราก็จะเริ่มไขว่คว้าหาความสุขความสงบใกล้ตัวมากขึ้น ทำให้ยิ่งนานวันวัฒนธรรมตะวันออก ก็ยิ่งได้รับความสนใจจากคนทั่วโลกมากขึ้น โดยเฉพาะศิลปะที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของจีนอย่างการชงชา ซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่องสุขภาพ และช่วยในการผ่อนคลายความตึงเครียดได้ดีแล้ว ในอดีตศิลปะการชงชาของจีนยังได้ชื่อว่าเป็นเครื่องมือการฝึกจิตให้คนธรรมดา กลายเป็นปราชญ์เมธีอีกด้วย’

‘ภาพมืดสนิท เสียงเงียบได้ยินเพียงลมหายใจ ก่อนที่ทำนองไพเราะของดนตรีแผ่วแบบนุ่มนวล หนัก เบา อ่อนหวาน เข้ากันอย่างลงตัว จากเครื่องดนตรีจีนกู๋เจิงยังคงก้องดังสายลมผ่าน รอบๆ ตัวของทุกคนในห้องชงชา กลิ่นเทียนยังแตะจมูกของฉันแผ่วปลาบ ก่อนที่เสียงทำนองดนตรีจะเปลี่ยนจากอ่อนหวาน เป็นเสียงสูงดังลมกระทบใบไม้ ความรู้สึกที่อบอุ่นของเสียงเพลงยังคงผ่านเข้ามาทำให้รู้สึกผ่อนคลาย’ความ คิดในหัวเริ่มลดลง เปลี่ยนกลายสลายหายเป็นความรู้สึกที่ผ่อนลงจากความคิดมากมายของทั้งวัน’ทุก คนเปิดเปลือกตาอย่างช้าๆ เมื่อทำนองดนตรีหยุดลง’

บทความ ของน้ำฟ้า หรือ ธรรมพร เรืองศรีอรัญ ในเวป www.homeschooldd.com ทำให้ ‘ผู้จัดการรายสัปดาห์ 360องศา’ติดต่อกลับน้ำฟ้า ทำให้ทราบว่าน้ำฟ้าได้รับการเรียนการสอนในระบบ homeschool มาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ โดยคุณแม่เป็นผู้จัดการเรียนการสอนเอง จนปัจจุบันนี้น้องน้ำฟ้ามีอายุ 16 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ 3 ปี คุณแม่ได้จ้างอาจารย์พิเศษมาสอนภาษาจีนน้ำฟ้า และน้ำฟ้ามีความสนใจและมีความชอบมาก จึงทำให้น้ำฟ้าตัดสินใจไปเรียนภาษาจีนที่ประเทศไต้หวัน เพราะเป็นประเทศที่ยังอนุรักษ์การเรียนการสอนภาษาจีนแบบตัวเต็ม และมีการถ่ายทอดศิลปะจีนโบราณด้วย ปัจจุบันน้ำฟ้าได้เดินทางไปเรียนภาษาจีนที่ประเทศไต้หวันเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว

ศิลปะการชงชาจีน-ฝึกสมาธิ

น้ำ ฟ้า กล่าวว่าปัจจุบันได้เข้าเรียนภาษาจีนที่ มหาวิทยาลัยฉือจี้ ประเทศไต้หวัน ซึ่งในการเรียนภาษาจีนนั้น จะไม่ได้เรียนวิชาภาษาจีนอย่างเดียว แต่จะมีวิชาพิเศษซึ่งจะเป็นวิชาที่เรียนเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมจีนโบราณด้วย และวิชาชงชา หรือ (ch? d?o k?) ก็เป็นวิชาที่น่าสนใจมาก

‘วิชา ชงชาเป็นวิชาที่มหาวิทยาลัยจัดให้เป็นชั่วโมงพิเศษที่สอนให้นักเรียนรู้จัก วิธีสงบใจ และรู้สึกตัวทุกขณะ ซึ่งเมื่อสงบจิตใจได้ดีแล้ว ก็จะส่งเสริมให้นักเรียนสามารถไปเรียนในวิชาปกติได้ดีขึ้น’

ก่อน การเข้าเรียน อาจารย์จะมีการดีดดนตรีกู่เจิงให้นักเรียนทุกคนได้ฟังเสียงเพลง ถือเป็นจุดเริ่มต้นทำใจให้สงบก่อนเข้าสู่พิธีชงชาแบบจีน โดยศิลปะการชงชาแบบจีนนั้น จะเน้นความเชื่องช้า การกำหนดจิตให้รับรู้ทุกความรู้สึก ทุกความเคลื่อนไหว จึงเป็นวิธีที่ช่วยในการทำใจให้สงบ เหมือนกับการเดินจงกรมของทางพระพุทธศาสนา ที่จะต้องกำหนดสติรู้แต่ละก้าวย่าง โดยการชงชาก็ต้องกำหนดสติรู้ในทุกขั้นตอน ถึงจะเกิดสมาธิ

ทุกขั้นตอน ‘ชงชา’ใช้สติกำหนดรู้

ใน ขั้นตอนของการชงชานั้น จะเริ่มต้นจากการเตรียมอุปกรณ์การชงชา ซึ่งจะประกอบด้วย กาน้ำ บรรจุน้ำร้อน (ขนาดกลาง),เครื่องวัดอุณภูมิความร้อน,เตาแก๊สความร้อนขนาดเล็ก,กาน้ำชงชา (เฉพาะชงชา),เหยือกน้ำดินเผา สำหรับชงชา,ถ้วยรองน้ำทิ้ง,แก้วชา,ใบชา (ชนิดแล้วแต่ต้องการ),ช้อนตักใบชาและขนมหวาน

โดย อุณหภูมิในน้ำร้อนชงชา เป็นอันดับแรกที่ผู้ชงจะต้องให้ความสำคัญ และกำหนดสติรู้ให้ได้ว่า จะต้องรักษาอุณหภูมิให้คงที่ไว้ที่ 92 องศาเซลเซียส หากตัววัดอุณหภูมิความร้อนสูงขึ้นหรือต่ำลง ให้เติมเชื้อไฟหรือลดเชื้อเพลิงรักษาระดับความร้อนไว้ที่ 92 องศา

จาก นั้นให้เปิดฝากาน้ำดินเผา ด้วยท่าวงกลม ขณะที่เปิดก็ต้องกำหนดจิตไว้ที่การเปิดฝากาน้ำชาด้วย ว่ากำลังเปิดฝากาน้ำ จากนั้นเทน้ำร้อนอุณหภูมิ 92 องศาฯ ลงในกาน้ำดินเผา คอยเฝ้าดูน้ำร้อนไหลลงสู่ถ้วยชานั้น พร้อมกับตั้งสติรับรู้ว่าน้ำร้อนกำลังไหลลงสู่ถ้วยชาช้าๆ จากนั้นปิดด้วยท่าวงกลมอ้อมเหยือกอย่างช้าๆ อีกครั้งหนึ่ง

ทิ้ง ไว้ 2 นาที แล้วจึงเทน้ำร้อนลงเหยือกน้ำเล็กจนหมด จากนั้นปิดฝากาน้ำด้วยท่าวงกลมอ้อมเหยือกอีกครั้งหนึ่งด้วยจิตใจสงบอย่า วอกแวก

ตามด้วยการประคองเหยือกด้วยมือทั้ง 2 ข้าง ก่อนจะเทลงบนแก้วน้ำชาทุกใบ ทุกขั้นตอนต้องตั้งใจ และใจจดจ่ออยู่กับท่าทางที่กำลังทำอยู่ จากนั้นรอระยะหนึ่ง แล้วจึงเทน้ำจากแก้วน้ำชาลงในถ้วยรองน้ำทิ้งทุกใบ ขณะที่เทน้ำทิ้งก็ต้องรับรู้ว่า กำลังเทน้ำ น้ำกำลังไหลจากแก้วน้ำชาสู่ถ้วยรองน้ำทิ้งอย่างช้าๆ

จากนั้นเปิดฝากาน้ำดินเผาด้วยท่าวงกลม เทน้ำร้อนอุณหภูมิ 92 องศาฯ ลงในกาน้ำดินเผา และปิดด้วยท่าวงกลมอ้อมเหยือก

นำ ช้อนไม้ไผ่ทรงกระบอกรูปช้อนทรงกลมสี่เหลี่ยม ตักใบชาในปริมาณตามความนิยมของผู้ดื่ม หากต้องการรสชาติออกขม ก็ใส่มากหน่อย หรือหากชอบชาในรสชาติจางๆ ก็ใส่ใบชาจำนวนน้อยลง จากนั้นปิดฝาด้วยท่าวงกลม

ทิ้งไว้ประมาณ 2 นาทีกว่าๆ กลิ่นหอมของชาจะลอยขึ้นมา เมื่อรับรู้ถึงกลิ่น ผู้ชงก็จะหยิบเหยือกชาดินเผาขึ้นช้าๆ แล้วเทลงในเหยือกน้ำเล็กอีกที วางกาน้ำชาลงและปิดด้วยท่าวงกลมอีกครั้งหนึ่ง

จากนั้นประคองเหยือกเล็กด้วยมือทั้งสองข้าง และเทน้ำชาลงบนแก้วน้ำชาทุกใบอย่างช้าๆ ซึ่งชาจะมีกลิ่นและควันสีขาวจางๆลอยขึ้นมา

เมื่อ รับรู้ถึงกลิ่น และเห็นควันสีขาวจางขึ้นมาจากแก้ว ให้ผู้ดื่มหยิบยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบ ลิ้นจะสัมผัสได้ถึงความหนักเบาของชาที่ผู้ชงชาได้ใส่ลงในเหยือกชา น้ำชายังคงอยู่ในปากรับรู้ถึงความร้อน ความหอมถึงชา ก่อนจะอุ่นลง จากนั้นให้กระดกแก้วดื่มจนหมด เพื่อสัมผัสความอุ่นผ่านคอช้าๆ

ตาม ด้วยการรินน้ำชาแก้วที่ 2 เพื่อดื่มกับขนมหวาน ชาในแก้วที่ 2 นี้จะมีรสชาติต่างจากชาแก้วแรก โดยรสชาติจะบางลงกว่าแก้วแรก ถือว่าจบพิธีการชงชาแบบจีน

น้ำฟ้า กล่าวว่า จากที่ได้ฝึกการชงชาแบบจีนมา ทำให้รู้สึกจิตใจสงบมากขึ้น และรู้สึกชอบที่จะได้เรียนวิชานี้ แม้จะเป็นวิชาเพิ่มเติมก็ตาม ซึ่งครั้งแรกๆนั้น อาจจะยังทำได้ไม่คล่องตัวนัก แต่ถ้ามีการฝึกบ่อยๆ ก็จะเริ่มชิน และสามารถชงชาได้อย่างคล่องตัว ซึ่งเป็นการฝึกสมาธิไปในตัวด้วย

โดยหลังจากเรียน วิชาการชงชาแบบจีน น้ำฟ้าได้รู้สึกสงบนิ่งมากขึ้น และนำไปปรับใช้กับการเรียนภาษาจีน ซึ่งน้ำฟ้าเลือกเรียนตัวอักษรจีนตัวเต็ม ซึ่งมีความยาก และต้องใช้สมาธิในการเรียนอย่างมากถึงจะจดจำตัวอักษรจีนได้ ซึ่งการฝึกสมาธิจากการชงชาก็ช่วยทำให้การเรียนภาษาจีนดีขึ้นด้วย

4 ปัจจัยหนุนการชงชาจีนให้ได้รสชาติดี

ใน ด้านความรู้จากใบชา นารีรัตน์ ชีวินกุลทอง ผู้สืบทอดร้านใบชาจรรยา กล่าวว่า เนื่องจากครอบครัวได้ทำธุรกิจใบชา ทำให้ได้จ้างผู้เชี่ยวชาญจากไต้หวันมาควบคุมการผลิตชาของร้านด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านชาจากไต้หวันได้ถ่ายทอดความรู้ในการชงชาไว้จำนวนมาก

โดยนอกจากวิธีชงชาที่ถูกต้องแล้ว การชงชาให้ได้รสชาติดียังต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ 4 ประการ คือ

  1. ปริมาณ การใช้ใบชา นอกจากความชอบในการดื่มชาอ่อน หรือแก่แล้ว จะขึ้นอยู่กับลักษณะของใบชาด้วย เช่น ชาที่มีรูปร่างกลมแน่น กลมหลวม หรือเป็นเส้น ถ้าใช้ใบชาที่มีลักษณะกลมแน่น ควรใช้ชาในปริมาณ 25% ของกาชา ใบชา เมื่อแช่อยู่ในน้ำร้อน จะเริ่มคลี่ตัวออกมาทีละน้อย จนเป็นใบชัดเจน ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้การคลายตัวไม่สะดวก ซึ่งรสชาติ ที่ชงออกมาจะไม่ได้มาตรฐานของชานั้นๆ และการคลายตัวของใบชา เมื่อคลายตัวออกมาเต็มที่แล้ว ควรจะมีปริมาณประมาณ 90 % ของกาชา อย่างไรก็ตาม ขึ้น อยู่กับความชอบของแต่คนละด้วย ว่าต้องการรสชาติ เข้มข้นมากน้อยเพียงใด และขึ้นอยู่กับคุณภาพของใบชาแต่ละชนิดด้วย
  2. อุณหภูมิ น้ำ หากอุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียสขึ้นไป เหมาะสำหรับชงชาแน่นกลม แต่อุณหภูมิที่ลดลงมาที่ 80-90 องศาเซลเซียสจะเหมาะสำหรับชงชาที่มีรูปร่างบอบบาง แตกหักง่าย หรือใบชาที่มีใบชาอ่อนมาก และอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 80 องศาเซลเซียสจะเหมาะสำหรับชงชาเขียว
  3. เวลาชงชา ขึ้นอยู่กับความชอบดื่มน้ำชาอ่อนหรือแก่ของแต่ละคนด้วย แต่ปกติชาประเภทกลมแน่น จะใช้เวลาในครั้งแรกประมาณ 40 – 60 วินาที ครั้งต่อๆ ไป เพิ่มอีกครั้งละ 10 – 15 วินาทีต่อครั้ง
  4. กาน้ำชานั้น ควรใช้เป็นกาดินเผา เพราะจะเก็บความร้อนได้ดีกว่า และรักษากลิ่นชาได้ดีกว่า

‘การ ชงชาต้องพิถีพิถันตั้งแต่น้ำที่นำมาใช้ ควรใช้น้ำบริสุทธิ์ไม่กลิ่นคลอรีนเจือปน ส่วนกาชา กาดินเผาถ้าใช้นานๆ น้ำชาจะซึมเข้าไปในตัวกา ทำให้ยิ่งชงยิ่งอร่อย ดังนั้นกาดินเผาใบหนึ่งๆ หากใช้ในการชงชาประเภทใดแล้ว ควรใช้ชงชาประเภทนั้นตลอด จะทำให้มีรสชาติและกลิ่นกลมกล่อมมากขึ้น แต่หากไปใช้ใบชาชนิดอื่นมาชง กลิ่นและรสชาติจะตัดกัน ไม่ได้รสชาที่แท้จริง’

นอกจาก นี้ สำหรับผู้นิยมดื่มชามากๆ แนะนำว่าหากใช้กาที่ผลิตมาจากดินสีม่วง จะสามารถเก็บรสชาติและกลิ่นได้ดีกว่ากาดินเผาธรรมดา และจะมีแร่ธาตุจากดินเข้าสู่ชาด้วย ซึ่งกาชนิดนี้จะมีราคาที่สูง หายาก

อย่างไร ก็ดีคนจีนมีการดื่มชามาแล้ว 2,000 ปี ส่วนสมัยที่ศิลปการชงชาของจีนรุ่งเรืองมากที่สุดอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง (คศ.618-907) จนปัจจุบันในประเทศจีน ชาได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องดื่มแห่งชาติ เป็นเครื่องดื่มสำคัญที่มีความหมายทางวัฒนธรรมและศิลปะโบราณ ควบคู่กับ พิณจีน หมากรุก ศิลปะอักษรจีน การวาดภาพ การแต่งโคลงกลอนจีน และการดื่มสุรา โดยศิลปะการชงชานั้นก็ได้รับความสำคัญในระดับชาติของจีนด้วย

http://blog.spu.ac.th/print.php?id=18267

ชา

ความเป็นมาและการเดินทางของชา

ตามตำนานของชาวจีน จักรพรรดิเสินหนง เป็นผู้ค้นพบเครื่องดื่มชนิดนี้ ท่านเชื่อว่าการต้มน้ำดื่มสามารถป้องกันโรคต่างๆได้ แต่ด้วยความบังเอิญระหว่างการเดินทางในป่า ได้มีใบไม้ชนิดหนึ่ง ตกลงไปในด้วยน้ำร้อน แทนที่ท่านจะเทน้ำที่มีสีออกเหลืองนั้นทิ้งไปเสีย กลับทดลองดื่ม จึงได้มีเครื่องดื่มมหัศจรรย์ชนิดนี้เกิดขึ้น ก่อนคริสตกาลประมาณ 2,700ปี

คศ. 618-907 สมัยราชวงค์ถัง (Tang Dynasty) ชาได้กลายเป็นเครื่องดื่มประจำชาติจีน

คศ. 780 หลูหยู่ ได้เขียนบันทึกเล่มแรมเกี่ยวกับชา ชื่อ ชาชิง Ch’a Ching

คศ. 1107-1125 จักรพรรดิหุ่ยเซิง ทรงเขียนตำราชา ชื่อ “Ta Kuan Ch’a Lun”

จากนั้นวัฒนธรรมการดื่มชาได้แพร่กระจายไปยังประเทศอื่นๆ เริ่มจากประเทศญี่ปุ่น เกาหลี ประเทศในตะวันออกกลาง จนกระทั่งปี 1620 ชาวดัชต์(ฮอลันดา) ได้นำชาเข้าสู่ประเทศฮอลแลนด์

ก่อนที่เราจะรู้จักชื่อทางวิทยาศาสตร์ของต้นชาที่เรียกว่า คาเมลเลีย ไซเนนซิส Camellia Sinensis ชาได้ถูกเรียกเป็นอีกหลายชื่อ เท่าที่พบตามหลักฐานในประวัติศาสตร์จีน ประเทศต้นกำเนิดของชา มีการบันทึกไว้ว่า คำว่า ทู (T’u) ที่แปลว่า ผักหรือใบไม้ที่มีรสขม คำว่า เกียกิวทิว แปลว่า ต้นไม้ใบเขียวตลอดปี เป็นอีกชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกชา  ชาวจีนมณฑลยูนนานเรียกชาว่า มิ้ง คล้ายกับคำว่า เมี่ยงที่ภาคเหนือของประเทศไทยใช้เรียก เมี่ยงที่ผลิตจากใบชาเช่นเดียวกัน

ระหว่างปีคศ. 728-804 การดื่มชาได้แพร่หลายอย่างรวดเร็วในวัฒนธรรมของจีน บันทึกเกี่ยวกับชาเล่มแรกของโลก เขียนโดยหลูหยู่ ที่ชื่นชอบการดื่มชา จึงค้นคว้าหาแหล่งที่มาของชา วิธีการผลิต อุปกรณ์ชงชา การชงชาที่ถูกวิธี และธรรมเนียมการชาชง พร้อมกับเรียกต้นไม้ชนิดนี้ว่า ชา แทนชื่ออื่นๆ และเป็นที่นิยมเรียกอย่างมาก

เมื่อชาวยุโรปล่องเรือเข้ามาทำการค้ากับจีน จึงนำใบชากลับไปด้วย นอกเหนือจากผ้าไหมและเครื่องเทศต่างๆ ชาวจีนมณฑลฟูเจี้ยนเรียกใบชาตามภาษาท้องถิ่นว่า เต (Tay) ซึ่งชาวฮอลันดาใช้ชื่อนี้เรียกชากลับไปด้วย ต่อมากลางศตวรรษที่ 18 คำว่า Tay ถูกนำมาสะกดและจำกัดความใหม่เป็น Tea และได้บรรจุไว้ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษมาจนถึงปัจจุบัน

เพิ่มเติมได้ที่ “ทำความรู้จักชา” http://www.time-for-tea.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=307857&Ntype=2

http://www.time-for-tea.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=361875

ทำความรู้จักกับต้นชา

ชาเป็นพืชที่มาจากพืชในตระกูลคาเมลเลีย ชื่อทางพฤกษศาสตร์ของชาคือ คาเมลเลีย ไซเนนซิส  (Camellia Sinensis) มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในประเทศจีน เจริญเติบโตในแถบที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นพื้นที่สูง อากาศเย็น สามารถขึ้นได้ดีในเขตอบอุ่น และมีฝน จึงทำให้แหล่งปลูกชากระจายอยู่ตั้งแต่ละติจูดที่ 45 องศาเหนือในรัสเซีย ถึง 50 องศาใต้ในทวีปแอฟริกา ชาปลูกได้ในพื้นที่ที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,000 – 2,000 เมตร ผลผลิตชาส่วนใหญ่จะอยู่ในทวีปเอเชียโดยพื้นที่ที่มีการปลูกชามากจะอยู่ระหว่างแนวเหนือใต้  ตั้งแต่ ประเทศญี่ปุ่นถึงอินโดนีเซีย และแนวตะวันออก-ตะวันตก จากประเทศอินเดียถึงญี่ปุ่น เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้จะอยู่ในเขตมนสุมมีอากาศอบอุ่นและมีปริมาณน้ำฝนมาก เหมาะกับต้นชาที่กำลังเจริญเติบโต

ชามีสกุลย่อยๆ แยกออกได้อีกกว่า 3,000ชนิด แต่ว่าที่ปลุกกันเป็นหลักก็มีเพียงแค่ 3 สายพันธุ์ใหญ่ๆ คือ

1. ชาอัสสัม ชื่อวิทยาศาสตร์ Camellia Sinensis Var. assamica (Mast.) เป็น ไม้พุ่มขนาดกลางถึงใหญ่ บางครั้งอาจพบได้ว่ามีความสูงถึง 17 เมตร และมีขนาดใหญ่กว่าชาในกลุ่มอื่นอย่างเด่นชัด ชาอัสสัมจะถูกนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชาจีนและชาดำ ชาอัสสัมจะเติบโตเร็ว ทนแล้ง สามารถแบ่งออกเป็นพันธุ์ย่อยๆได้ 5 สายพันธุ์คือ

1.1 พัีนธุ์อัสสัมใบจาง – ต้นมีขนาดเล็ก ยอดและใบมีสีเขียวอ่อน ลักษระในเป็นมันวาว ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย เป็นพันธุ์ที่อ่อนแอ ให้ผลผลิตต่ำและคุณภาพไม่ดี เมื่อนำมาทำชาจีนจะมีสีน้ำตาล

1.2 พันธุ์อัสสัมใบเข้ม ยอดและใบมีสีเขียวเข้ม ใบนุ่มเป็นมัน มีชนปกคลุม ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพดี เมื่อนำมาทำชาจีนจะมีสีดำ

1.3 พันธุ์มานิปุริ เป็นพันธุ์ที่แข็งแรง ให้ผลผลิตสูง ใบมีสีเขียวเข้มเป็นประกาย ของใบหยักแบบฟันเลื่อย ทนแล้งได้่ดี

1.4 พันธุ์พม่า ใบมีสีเขียวเข้ม ใบแก่มีสีเขียวแกมน้ำเงิน ใบกว้าง แผ่นใบเป็นรูปไข่ ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย ทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีมาก

1.5 พันธุ์ลูไซ ขอบใบหยักลึก ปลายใบเห็นได้ชัด

2. ชาจีน มีชื่อวิทยาศาสตร์ Camellia Sinensis Var. sinensis เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 1-6 เมตร ชาจีนจะถูกนำไปใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชาเขียวโดยใช้ยอดอ่อนที่มี 1 ยอดตูมและ 3-4 ใบบาน

ชาจีนจะทนทานต่ออุณหภูมิและสภาพแวดล้อมที่ผันแปรได้ดี ผลผลิตต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มพันธุ์ชาอัสสัม  ชาพันธุ์นี้ปลูกมากในประเทศจีน  สายพันธุ์ที่นิยมปลูกจะแตกต่างกันไป  ในแต่ละท้องที่เช่น สายพันธุ์ชิงชิงอูหลง ชิงชิงต้าพัง เตกวนอิน เป็นต้น

3. ชาเขมร มีชื่อวิทยาศาสตร์ Camellia Sinensis Var.Indo-China ชาในกลุ่มนี้มีลักษณะเป็นไม้พุ่มลำต้นเดี่ยวขนาดใหญ่ มีความสูงของทรงพุ่มประมาณ 5 เมตร

ต้น ชาเป็นพืชที่มีลักษณะเป็นพุ่ม ใบเขียว และหากปล่อยให้เจริญเติบโตเองในป่า มันจะให้ดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเมื่อดอกชาเติบโตเต็มที่จะให้ผลชาที่ภายในมีเมล็ดเล็กๆ ตั้งแต่หนึ่งถึงสามเมล็ด ส่วนในการแพร่พันธุ์ ต้นชาจะต้องได้รับการผสมละอองเกสรกับต้นชาต้นอื่นๆ เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนยีนและโครโมโซมซึ่งกันและกัน เมื่อชาต้นใหม่เจริญเติบโตมันจะคงคุณลักษณะที่เข้มแข็งบางส่วนของพ่อแม่ต้น พันธุ์ ด้วยวิธีการนี้ ต้นชาจึงถือได้ว่าเป็นพืชที่มีคุณลักษณะเด่นเฉพาะตัวของมันเอง

ต้น ชาสามารถเจริญเติบโตได้สูงตั้งแต่ 15-30 ฟุต แต่ในการปลูก เกษตรกรมักรักษาระดับความสูงของต้นชาให้อยู่ในระดับประมาณ 3-5 ฟุต เพื่อความสะดวกในการเก็บเกี่ยวใบชาอ่อน นอกจากนี้การปล่อยให้ต้นชาสูงเกินไป ใบอ่อนที่เหมาะสำหรับการเก็บเพื่อผลิตชาแห้งนั้น จะถูกแสงแดดเผาไหม้ได้ และเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เกษตรกรมักปลูกต้นชาภายใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่อื่นๆ เช่นกัน

การเก็บเกี่ยวชา

ส่วนที่เราต้องการจากต้นชาเพื่อมาทำเครื่องดื่มนั้น อยู่ส่วนบนสุดของต้นหรือใบอ่อน กล่าวคือ คุณภาพของชาที่ดีนั้นต้องผลิตจากใบอ่อน (ยอดบนสุด) และอีกสองใบถัดไป สิ่งที่น่าสนใจและจดจำคือการเก็บเกี่ยวใบอ่อนและยอดที่ได้รับการยอมรับว่าจะ ได้มาซึ่งผลผลิตชาที่ดีนั้น ถือว่าการใช้มือคนเก็บเป็นวิธีที่ดีที่สุด นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้แต่ประเทศที่ได้ผลิตชามาเป็นเวลานานเช่น จีน ไต้หวันหรือประเทศญี่ปุ่นที่มีค่าแรงสูง ก็ยังใช้แรงงานคนในการเก็บเกี่ยวยอดชาใบอ่อน เพราะเครื่องจักรมักดึงเอาใบและหน่อส่วนที่หยาบ หรือเป็นเป็นกิ่ง ตลอดจนส่วนอื่นๆของต้นชา ที่สำคัญเครื่องจักรไม่สามารถแยกความแตกต่างของความอ่อน แก่ของใบชาได้ดีเท่าคน

ใบ ชาที่ดีที่สุดนั้นต้องเล็กที่สุด และที่ปลายต้องเรียว ที่หัวจะมีความคมและแหลม ใบชาแบบนี้จะมีราคาแพง ในอดีตจะมีเพียงกษัตริย์เท่านั้นที่ได้ดื่ม คุณภาพของชาที่ดีคือการใช้ใบที่เป็นใบแรก รองลงไปคือใบที่ 2-3 และ 4 ดังนั้นเกษตรกรปลูกชาจึงต้องดูแลต้นชาอย่างดีอยู่เสมอ เพราะถ้าใบชาแก่เกินไปคุณภาพจะลดลงและทำให้ราคาที่ได้ถูกลงด้วย  บรรดา แมลงที่สามารถทำความเสียหายให้ต้นชานั้นมีถึง 150 ชนิดด้วยกัน และอีกทั้งมีเชื่อรามากกว่า 380 ชนิดที่สามารถทำความเสียหายต้นชาได้ตลอดเวลา

คุณภาพ และราคาของชา ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของการเก็บชา และฤดู ชาที่มีคุณภาพดีที่สุดต้องเป็นใบชาที่เก็บก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นเต็มที่ และเก็บอีกครั้งเมื่ออาทิตย์ตกดิน เพราะความร้อนจะไม่รุนแรงนัก แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่เก็บในช่วงเช้า เพราะมีความชื้นสูง ดังนั้นจึงเลือกเก็บเวลากลางวัน ส่วนฤดูการเก็บเป็นปัจจัยต่อราคาของชาเช่นเดียวกัน ในฤดูใบไม้ผลิจะผลิตชาได้ีดีที่สุด แต่ถ้าเป็นช่วงต่อระหว่างฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนคุณภาพจะตก ตามธรรมเนียมแล้ว ไม่มีใครเก็บชาในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เพราะเป็นเวลาที่ต้นชาจะมีโอกาสฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิม แต่ในปัจจุบันการเก็บใบชาเก็บได้ทั้ง 4 ฤดู ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผลผลิตตลอดปี

http://www.time-for-tea.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=5319818

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ หรือ การจำแนกชั้นทางชีววิทยา นั้นหมายถึง  การจัดกลุ่มและหมวดหมู่สปีชีส์ของสิ่งมีชีวิต ทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่สูญพันธุ์ไปแล้ว การจำแนกในยุคปัจจุบันอาศัยรากฐานจากระบบการจำแนกของ  คาโรลัส ลินเนียส นักพฤกษศาสตร์ผู้จัดกลุ่มสปีชีส์ต่าง ๆ โดยดูจากลักษณะเฉพาะทางกายภาพ การจัดกลุ่มแบบนี้ได้มีการปรับปรุงอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับหลักดาร์วิน   ส่วนมากเป็นผลมาจากการศึกษาอนุกรมวิธานระดับโมเลกุลด้วยการวิเคราะห์จีโนม ในการแบ่งอย่างกว้างๆจะแบ่งได้ 2 ระดับ คือ ลำดับขั้นสูง และ ลำดับขั้นต่ำ

“ชา” ตามความหมายที่เราต้องการ  อ้างอิงตาม  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ คือ  น. (๑) ชื่อไม้ต้นขนาดเล็กชนิด  Camellia  sinensis (L.)  Kuntze  ในวงศ์Theaceae ขึ้นตามหุบเขาในเขตร้อน ใบใช้ชงเป็นเครื่องดื่ม, พายัพเรียก เมี่ยง.  ดังนั้นชาตามความหมายจากการอ้างอิงนี้เราหมายถึง พืชชนิด Camellia sinensis (L.) Kuntze  วงศ์ Theaceae เมื่อนำใบมาผ่านกรรมวิธีต่างๆแล้วนำมาชงจะกลายเป็นเครื่องดื่ม

มีอะไรในใบชา

จากความเชื่อแต่โบราณที่ว่า ชาเป็นยาอายุวัฒนะและสามารถแก้โรคต่างๆ   ได้สารพัดโรค ตั้งแต่ปวดศีรษะ ลดความเครียด ช่วยย่อยอาหาร ล้างสารพิษ ป้องกันโรคหัวใจ เพิ่มภูมิต้านทาน ไปจนกระทั่งป้องกันฟันผุ ซึ่งการวิจัยในปัจจุบันก็ยืนยันสนับสนุนความเชื่อเหล่านั้น แน่นอนว่าคุณสมบัติที่เป็นยาสารพัดโรคของชานั้นได้มาจากสารเคมีต่างๆที่อยู่ในใบชา นั่นเอง ซึ่งสาระสำคัญ ๆ ได้แก่ เคทิซิน คาเฟอิน แทนนิน เป็นต้น

เคทิซิน

ความลับของชาอยู่ที่ปริมาณสารเคทิซิน โพลีฟีนอล (Catechin Polyphenol) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาร Epigallocatechin-3-Gallate (EGCG) 
ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก (เชื่อว่าดีกว่าวิตามินอีถึง 20 เท่า) จึงช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับความเสียหายจากอนุมูลอิสระ   ช่วย
กำจัดการลุกลามของเซลล์เนื้องอก   ทั้งยังเข้าไปแทรกแซงในกระบวนการก่อตัวและในกระบวนการลุกลามของมะเร็ง  โดยไม่ทำลายเนื้อ
เยื่อส่วนดี   โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร   มะเร็งตับอ่อน  มะเร็งลำไส้ใหญ่   มะเร็งหลอดอาหาร   มะเร็งตับ   มะเร็งต่อมลูกหมาก  และ
มะเร็งปอด  การใช้สารสกัดจากชาเขียวในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการฉายแสงและเคมีบำบัดจะทำให้เซลล์ปกติถูกทำลายน้อยลง  นอกจากนี้
ยังช่วยลดระดับ   LDL   คลอเรสเตอรอล  และยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปรกติของก้อนเลือด  ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก
มีรายงานจากทีมนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์วิจัยโรคมะเร็งในบริติชโคลัมเบียว่า ชาสามารถยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน  ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
รุนแรงได้  ซึ่งสารไนโตรซามีนนั้นเป็นสารที่เกิดจากสารพวกดินประสิวในอาหารทำปฏิกิริยากับสารจำพวกโปรตีนที่มีในเนื้อสัตว์และอาหาร
ทะเลกลายเป็นไนโตรซามีน   ซึ่งกอ่มะเร็งได้หลายฃนิด    ดังนั้นถ้านิยมบริโภคอาหารจำพวกไขมัน   แอลกอฮอล ์ เนื้อสัตว์และไม่ค่อยรับ
ประทานอาหารที่มีกากสูงก็ควรดื่มน้ำชาไปพร้อมๆ กันด้วย ก็จะช่วยลดไขมันหรือสพิษที่อาจปะปนในอาหารได้

คาเฟอีน (Caffeine)

สาร เคมีที่เรารู้จักกันดีนี้ก็มีอยู่ในชาประมาณร้อยละ 2.5 โดยน้ำหนัก ซึ่งสารคาเฟอีนในน้ำชานี่เองที่ไปกระตุ้นให้สมองสดชื่นแจ่มใส 
หายง่วง เนื่องจากมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท เพิ่มการเผาผลาญอาหาร เพิ่มการทำงานของหัวใจและไต แต่อย่างไรก็ตามเด็กและผู้ป่วยโรคหัวใจ
ก็ไม่ควรดื่มชาเนื่องจากคาเฟอีนมีคุณสมบัติในการกระตุ้นประสาทและบีบหัวใจ ถ้าต้องการดื่มชาจริงๆ ก็ควรดื่มชาที่สกัดสารคาเฟอีนออก
แล้ว ซึ่งในการชงชานั้นพบว่าใน   3   นาทีแรกจะได้คาเฟอีนออกมาในปริมาณที่สูง โดยทั่วไปในชา 1 ถ้วย จะมีคาเฟอีนอยู่ประมาณ 10-50
มิลลิกรัม และในน้ำชายังมีสารที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับคาเฟอีนชนิดอื่นๆ ที่ช่วยในการขับปัสสาวะ โดยไปกระตุ้นให้ไตขับน้ำปัสสาวะมากขึ้น
และยังช่วยขยายหลอดลมอีกด้วย แต่มีงานศึกษาวิจัยบางชิ้นพบว่า น้ำชาที่ได้จากชาเขียวหรือชาดำที่สกัดเอาสารคาเฟอีนออกไป กลับ
ไม่มีฤทธิ์ในการป้องกันการก่อมะเร็งหรือเนื้องอก ข้อมูลดังกล่าวทำให้เกิดความสนใจขึ้นว่าบางทีคาเฟอีนในใบชาอาจจะเป็นสารออก ฤทธิ์
ตัวหนึ่งที่มีผลทางการแพทย์ก็เป็นได้้

แทนนิน

ฝาดชา (Tannin) เป็นสารที่มีรสฝาด พบในใบชาแห้งประมาณร้อยละ 20-30 โดยน้ำหนัก ใช้บรรเทาอาการท้องเสียได้ ดังนั้นหาก
ต้องการดื่มชาให้ได้รสชาติที่ดีนั้น ไม่ควรทิ้งใบชาค้างไว้ในกานานเกินไป เพราะสารแทนนินจะออกมามาก ทำให้น้ำชามีรสขมฝาด
แต่ถ้าหากต้องการบรรเทาอาการท้องเสียก็ควรต้มใบชานานๆ เพื่อให้มีปริมาณสารแทนนินออกมามาก นอกจากนั้นสารแทนนินยัง
ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนังหลอดเลือด จึงทำให้ชาเขียวเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วย
นอกจากนี้ ชายังประกอบไปด้วยกรดอะมิโนคือ ธีอานีน (Theanine) สารแคโรทีนอยด์ คลอโรฟิลล์และโปรแอนโธไซยานิติน ที่พบ
ในสารสกัดจากเมล็ดองุ่น เปลือกสน บลูเบอร์รี่และใบแปะก้วย  สารเหล่านี้จะถูกดูดซึมสู่ทางเดินอาหารได้ถึงร้อยละ 90 แล้วแผ่กระจาย
ไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ภายใน 5 นาทีและยังคงออกฤทธิ์อยู่ในช่วงเวลา 6-14 ชั่วโมง ซึ่งสารพัดสารเคมีที่มีประโยชน์ในใบชาเหล่านี้นี่เอง
ที่ทำให้ชาเป็นยารักษาโรคได้สารพัดและเป็นยาอายุวัฒนะที่เชื่อถือกันมาตั้งแต่โบราณกาล

ที่มา http://www.time-for-tea.net

http://www.teatester.com