Tag Archives: ล้างพิษ

6 วิธีฟื้นฟูตับ

ตับเป็นอวัยวะสำคัญมากต่อร่างกาย เปรียบเสมือนโรงงานกำจัดขยะ ที่จะคอยกำจัดสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ตับยังเป็นแหล่งสังเคราะห์พลังงานต่างๆ ที่ร่างกายต้องการ เช่น โปรตีน น้ำตาล และสร้างน้ำดีที่ใช้ย่อยไขมัน ลองคิดกันดูว่า ถ้าหากเรานำสารพิษเข้าในร่างกายปริมาณมากๆ จนตับของเราเสื่อมประสิทธิภาพ และไม่สามารถกำจัดสารพิษออกไปได้หมด ร่างกายของเราจะเป็นยังไง?

สารพิษที่มีอยู่ใน ‘เหล้า’ คือสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำร้ายตับมากที่สุด เพราะเหล้าไม่มีสารอาหารอะไรนอกจากเป็นสารพิษที่ต้องถูกส่งไปให้ตับทำลาย แต่เมื่อมีในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ตับจะรับมือได้แล้วนั้น ตับก็กลายเป็นผู้ถูกทำร้ายจนอักเสบเกิดรูรั่ว ทำให้ของดีอย่างเอนไซม์ในตับรั่วไหลไปตามกระแสเลือด ดังนั้นหากตรวจพบเอนไซม์ตับในเลือดเยอะแปลว่า “ตับของคุณกำลังมีปัญหาแน่นอน” ซึ่งในปัจจุบันนี้มีการสำรวจพบว่า วัยรุ่นไทยแม้จะยังอายุน้อยแต่ก็เป็นโรคความดันโลหิตสูง และส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุมาจากการดื่มเหล้า โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังเสี่ยงต่อการเป็นหลายโรครุมเร้ามากมาย เช่น ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคหัวใจ โรคตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ Continue reading

ข้าวต้มถั่วเขียว‬ ล้างพิษสารโลหะหนัก

ทุกวันนี้มีสารพิษรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีอากาศเป็นพิษ เครื่องอุปโภคบริโภคที่มีสารเคมีที่มีอันตราย สิ่งเหล่านี้แก้ไขด้วยแนวทางธรรมชาติบำบัด อาหารเป็นยาเพียงแค่เราใส่ใจตัวเอง ตรวจสอบตัวเอง พี่งพาตัวเอง วันนี้ขอแนะนำข้าวต้มถั่วเขียวล้างสารพิษโลหะหนัก
คนที่ชอบกินอาหารทะเล.เป็นประจำ อาทิ กุ้ง หอย ปู ปลา โดยเฉพาะ กุ้งแห้ง มีโอกาสได้รับสารพิษโลหะหนักมากที่สุด รวมไปถึงการใช้ยาฆ่าแมลง ดีดีทีสูดกลิ่นควันพิษจากโรงงาน.อุตสาหกรรม ควันรถยนต์ คนในเมืองใหญ่ได่รับสารพิษจากควันรถยนต์มากที่สุด หรือดื่มน้ำปะปาต้มโดยไม่ผ่านการกรอง

อาการ :: สารพิษจะสะสมเข้าไปที่ตับทำให้ตับทำงานหนัก และจะมีอาการทางสมองร่วมด้วยเช่น จะปวดหัวบ่อย.สมองมึนงง เฉื่อยชา จากนั้นจะเริ่มมีเนื้องอก เสี่ยงเป็นมะเร็ง สมองเสื่อม

13178061_222490584800637_682034255080177772_n

อาหารล้างพิษ.:: ข้าวต้มถั่วเขียว
ข้าวสาร.1 กำมือ ถั่วเขียว 1 กำมือ (สูตรสำหรับ 1 คน)
ต้มถั่วเขียว จนใกล้จะสุกก่อนแล้วจึงใส่ข้าวสารลงไปต้มพร้อมกัน จนกลายเป็นข้าวต้ม กินกับกับข้าวทั่วๆไป ช่วงล้างพิษกินวันละหนึ่งมื้อ กินติดต่อกัน 15-30 วัน Continue reading

การแช่เท้าเพื่อสุขภาพ

อาศัยหลักการ การถ่ายเทประจุ จากแหล่งที่มีประจุ มากไปยัง แหล่งที่มีประจุน้อย เกลือ มีประจุบวก จะดึง ประจุลบ ออกจากร่างกาย อาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และศาสตร์เรื่องพลังงานที่เท้ามีจุดเชื่อมต่อกับจุดจักระในร่างกาย ทั้ง 7 จุด จักระจะหมุนอยู่ตลอดเวลา แต่บางคนหมุนช้า บางคนหมุนเร็ว การหมุนของจักระ ก็เหมือนกับการหมุนของใบพัดลม เมื่อหมุนไปเรือยๆ จะสังเกตเห็นมีฝุ่นเกาะที่ใบพัด หากไม่นำพัดลมมาทำความสะอาด สิ่งสกปรกเหล่านั้นก็จะเกาะเพิ่มมากขึ้นๆ แต่เนื่องจากคนไม่สามารถทำให้จักระหยุดได้ ถ้าจักรหยุดหมุนก็คือตาย การจะขจัดขยะฝุ่นออกจากใบพัดของจักระได้ ก็คือการใช้เกลือแช่น้ำ แล้วแช่เท้าไว้ สัก 20 นาที ต่อครั้ง เกลือเมื่อแตกตัวแล้วจะเป็นประจุบวก ตัวสิ่งสกปรกนั้นเป็นประจุลบ เมื่อเกลือแตกตัวในน้ำแล้ว ด้วยความเข้มข้นที่พอดี จึงดึงดูดประจุลบที่ติดอยู่ที่จักระออก ทำให้โรคบางอย่างที่เกิดจากจักระมีประจุลบเกาะอยุ่ หายเป็นปกติ ทั้งนี้ต้องอาศัยเวลา และความถึ่ในการแช่เท้าให้บ่อย ๆ เพื่อทำความสะอาดจักระของเรา

12039538_1178608925499312_1805650592509885129_n Continue reading

ล้างพิษฟื้นฟูระบบ : น้ำแตงกวา มะนาว สะระแหน่

เครื่องดื่มนี้จะช่วยล้างพิษและฟื้นฟูระบบต่างๆ ของร่างกายของคุณได้อย่างง่ายๆ เป็นเครื่องดื่มที่ทำได้ไม่ยุ่งยากและไม่สิ้นเปลือง ใช้เวลาในการเตรียมไม่มาก สามารถเก็บไว้ดื่มได้นานสูงสุดถึง 15 วัน

powerful-cleansing-drink

ส่วนประกอบที่ต้องเตรียม :
– น้ำสะอาดสำหรับบริโภค 2 ลิตร
– เลมอน(มะนาวฝรั่ง) 1 ผล หรือจะใช้ มะนาวไทย 2 ลูก ก็ได้
– แตงกวา(ขนาดใหญ่หน่อย) 1 ลูก
– ใบสะระแหน่ 10 ใบ

การเตรียม :
– ล้างส่วนประกอบทั้งหมดให้สะอาด จากนั้นให้หั่น มะนาวและแตงกวาไว้เป็นแว่นๆ
– เติมใบสะระแหน่แล้วผสมให้เข้ากัน
– นำใส่ภาชนะที่เพียงพอสำหรับส่วนผสมทั้งหมดรวมถึงน้ำอีก 2 ลิตรด้วย
– ปิดฝาให้สนิทและนำเข้าตู้เย็น

การนำไปใช้ :
– ดื่มวันละ 2 แก้ว ทุกวัน จนกว่าจะหมด
– เครื่องดื่มจะมีประสิทธิภาพสูงสุดภายใน 15 วัน นับจากวันที่ทำ แต่อาจเก็บไว้ได้บริโภคได้นานกว่านั้น
– เพื่อเป็นการส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องดื่มและช่วยระบบขจัดพิษและของเสียของร่าง ควรพยามงด หรือลด อาหารประเภท น้ำตาล และไขมัน

บทความแปลจาก http://worldtruth.tv/powerful-drink-clean-your-whole-organism/ และ http://naturalcuresnotmedicine.com/powerful-drink-clean-your-whole-organism/
สงวนสิทธิ์ในการนำไปใช้ในเชิงการค้าและห้ามนำไปใช้โดยไม่อ้างอิงที่มาของบทความ

ล้างพิษในหนึ่งวันที่คุณทำเองได้

คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก

หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลกรัม เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้วต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า

1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรีสูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้

2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละกอสุก หรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด

3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้

4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป

5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป

วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว อุปกรณ์

1. ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด

2. มะนาว 4 ลูก

3. เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน

วิธีทำ

1. ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก และเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน

2. มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ

3. หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่น  คือ อาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้ กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ ต่อหนึ่งครั้ง

 

เครดิต postjung

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=322361354526350&set=a.308577715904714.67361.119233754839112&type=1&theater

 

การล้างพิษจากตับและถุงน้ำดี

หมายถึง การนำพิษออกจากร่างกายโดยกระตุ้นให้ตับและถุงน้ำดีขับพิษออกนอกร่างกาย ด้วยวิธีรับประทานอาหารพลังงานต่ำ หรือ อดอาหาร (ดื่มน้ำสมุนไพรแทน) และใช้ยาสมุนไพร ซึ่งสามารถนำพิษออกได้มากกว่าวิธีอื่นๆ เหมาะสำหรับคนที่มีพิษสะสมในร่างกาย ปริมาณมาก เช่น นิ่วในถุงน้ำดี เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง

โดยปกติร่างกายของคนเรามีกระบวนการกำจัดพิษออกจากร่างกายได้หลายวิธี เช่น การไอ การจาม มีขน มีเมือกโบกพัดเชื้อโรคออกจาก ร่างกาย มีเม็ดเลือดขาวช่วยจับกินเชื้อโรค มีระบบภูมิคุ้มกันช่วยดูแลร่างกายให้แข็งแรง และยังมีตับเป็นอวัยวะที่รวบรวมพิษและกำจัดพิษออก จากร่างกายอีกด้วย ตับจึงมีความสำคัญต่อร่างกายมาก ตั้งอยู่ช่องท้องใต้ชายโครงขวา หนัก 1.3-3 กิโลกรัม ทำหน้าที่ในร่างกาย 40 อย่าง และยังมีหน้าที่ย่อย 500 อย่าง เช่น

  • เก็บสารที่ใช้ในการสร้างฮีโมโกลบิน
  • เก็บวิตามิน A , D , E , K, แร่ธาตุ และไขมัน
  • สร้างน้ำเหลือง ซึ่งเป็นตัวกลางในการนำพาเม็ดเลือดขาว ให้เคลื่อนไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย
  • ควบคุมสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
  • ขับของเสียที่เกิดจากปฏิกิริยาเมตาโบลิซึ่ม
  • สร้างไลโปโปรตีน เอาไว้คอยส่งไขมันในเลือด
  • สร้างโปรตีนทั้งแอลบูมินและโกลบูลิน
  • ผลิตสารที่เป็นปัจจัยการแข็งตัวของเลือด ( Clotting factors)
  • ทำลายเม็ดเลือดแดงที่ใช้แล้ว
  • แปรรูปโมเลกุลของฮีโมโกลบินที่ได้จากการทำลายเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุจากม้าม เพื่อสร้าง เป็นรงควัตถุน้ำดี ( Bile pigment) เช่น บิลิรูบิน ( Bilirubin) และบิลิเวอดิน ( Bilivedin)
  • หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การกำจัดพิษออกจากร่างกาย

ถ้าเราไม่รู้จักวิธีดูแลตับ รู้จักวิธีเอาพิษออก อาจทำให้ตับถูกทำลายด้วยพิษ ทำให้เสียหน้าที่ต่างๆทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ การเอาพิษออกจากตับ ( Liver flushing) จึงเป็นวิธีการดูแลดับที่ดีมาก สามารถเอาพิษออกจากร่างกายได้ในปริมาณที่มาก จึงมีประโยชน์ดังนี้ 

  1. ช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ หลายชนิดในร่างกายที่ช่วยตับในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย
  2. ป้องกันตับจากสารพิษ ยา สารเคมี หรือแอลกอฮอล์
  3. ช่วยให้ตับฟื้นตัวเร็วขึ้น เร่งการขับสารพิษตกค้างในร่างกาย ปกป้องตับจากการทำเคมีบำบัด ในผู้ป่วยมะเร็ง เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ที่ช่วยต่อต้านการทำลายเซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ตับไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ
  4. ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง สามารถต่อต้านเชื้อโรคและสิ่ง แปลกปลอม บรรเทาความรุนแรงของหวัด หรืออาการภูมิแพ้
  5. ช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ กลับมาใช้ได้ใหม่ เช่น วิตามินซี
  6. ช่วยลดการสะสมของไขมันที่ตับ และลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
  7. ช่วยป้องกันและต่อสู้กับโรคมะเร็ง ช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ และคืนความสดชื่นให้กับเซลล์ ทั่วร่างกาย
  8. ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง คอลลาเจน อิลาสติน เส้นเอ็นและความแข็งแรง ยืดหยุ่นของหลอดเลือด

 

การล้างพิษตับทำอย่างไร?   แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน

ขั้นตอนที่ 1.

เตรียมตัวก่อน พร้อมทั้งกายและใจ 

1.1 ทำได้ในผู้ที่มีอาการพิษสะสม เช่น

  • อาการปวดศีรษะบ่อย หงุดหงิด
  • ปวดเมื่อยหลัง ไหล่ คอ
  • เบื่ออาหาร ท้องอืดบ่อย
  • หน้าตาหมองคล้ำ ไม่ขาวสดใส ผิวพรรณหยาบกร้าน
  • มีแผลร้อนในในปากเป็นประจำ
  • ดูดซึมสารอาหารจำพวกแป้งมากไปทำให้ร่างกายอ้วน
  • ขับถ่าย และละลายสารพิษไม่ออก จะเกิดสิวเสี้ยนบนใบหน้า และฝ้าดำบนใบหน้า
  • อ่อนเพลีย ง่วงนอน สมาธิไม่ดี ความจำเสื่อม
  • โรคท้องผูกและ ริดสีดวงทวาร
  • สตรีมีรอบเดือนมาไม่ปรกติ
  • ประสาทตึงเครียด และร่างกายไม่แข็งแรง เพศสัมพันธ์เสื่อม
  • ผิวหนังเป็นผื่นคัน ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ผายลมบ่อย
  • โรคเรื้อรัง เช่น โรคไต เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบตัน
  • ภูมิแพ้ การต้านทานการติดเชื้อโรคของเด็ก และผู้สูงอายุ
  • ไตทำงานหนัก ( ขับพิษยาตกค้างแทน)

1.2 เจ็บป่วย โรคหรืออาการต่างๆ 

  1. สิว
  2. ไขมันในเลือดสูง
  3. โรคผิวหนัง ผื่นคันต่างๆ
  4. หอบ หืด
  5. ภูมิแพ้
  6. นิ่วตับและนิ่วถุงน้ำดี ปวดท้องจากนิ่วถุงน้ำดี ซึ่งนิ่วจะเป็นตัวขัดขวางการทำงานของตับทำให้เกิดโรคต่างๆได้ เช่นไขมันพอกตับ ตับแข็ง มะเร็งตับ ตับวาย
  7. โภชนาการพร่อง
  8. ปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดแขน
  9. ปวดท้อง ปวดตับ
  10. ความดันโลหิตสูง
  11. โรคหัวใจ เจ็บหน้าอก
  12. โรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ลำไส้แปรปรวน ท้องผูก
  13. มะเร็ง
  14. เอดส์
  15. พากินสัน
  16. อัลไซเมอร์
  17. ลมชัก
  18. อื่นๆ

1.3 มีความเข้าใจในการล้างพิษตับ มีความอดทน 

1.4 มีเวลาให้กับการล้างพิษตับ เวลาที่เหมาะสมกับการล้างพิษตับควรเป็นดังนี้

  • เวลาที่สะดวก ไม่เร่งรีบ
  • เป็นวันหยุด พักผ่อน
  • วันก่อนหรือหลังวันพระ 1 วัน

1.5 ข้อระมัดระวัง

  • สำหรับผู้ที่ร่างกายเพลียมากๆ เจ็บป่วยด้วยโรคเฉียบพลัน เช่น ไข้ ไข้หวัด โรคหัวใจบางชนิด เด็กในวัยเจริญเติบโต หญิงตั้งครรภ์ ควรงดหรือเว้น

ขั้นตอนที่2.

ล้างลำไส้ก่อนล้างตับ มีหลายวิธี เช่น ให้งดอาหารเนื้อ นม ไข่ น้ำมัน อาหารผัด ทอด หรืออดอาหารทุก อย่างโดยดื่มน้ำสมุนไพร แทนร่วมกับรับประทานยาสมุนไพรล้างลำไส้หรือร่วมกับวิธีสวนล้างลำไส้ใหญ่ ดังต่อไปนี้

  • ดื่มน้ำชาต่างๆ  เช่น น้ำชาข้าว น้ำด่าง น้ำมะขามผสมน้ำผึ้ง (วิธีทำแสดงในหัวข้ออาหารและน้ำปรับสมดุลร่างกาย)  โดยน้ำชาข้าว ดื่มตอนเช้า    ประมาณ 5 แก้ว น้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลด์ ดื่มตลอดวัน น้ำมะขามผสมน้ำผึ้ง ดื่มเมื่อรู้สึกเพลีย 
  • รับประทานยาสมุนไพร สำหรับล้างพิษ ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำมะขามดื่ม 1/2 แก้ว 3  เวลา ก่อนอาหารซึ่งจะดื่ม 3 วัน (ยาจะช่วยทำ    ความสะอาดลำไส้) 
  • ให้สวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำสมุนไพร เช่น น้ำต้มสะเดา น้ำต้มหญ้าใต้ใบ กาแฟ หรือสมุนไพร ที่ถูกกับตัวเอง โดยทำ เช้า-เย็น หรือมากกว่า    เพื่อทำความสะอาดลำไส้ก่อนที่จะนำพิษออกจาก ตับและถุงน้ำดี 

ขั้นตอนที่3.

การล้างพิษตับ หลังจากล้างลำไส้แล้วก็จะล้างพิษจากตับ โดยวันที่ล้างพิษตับจะงดการรับประทานยาทุกชนิด งดรับประทานอาหาร ดื่มน้ำเปล่า หรือน้ำชาต่างๆ แทน แต่ถ้างดอาหารทางปากได้ยิ่งดี

วันหลังจากล้างลำไส้แล้ว

  • ตอนเช้า ถ้างดอาหารได้จะดีให้ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้คั้น แต่ถ้างดไม่ได้ให้รับประทานอาหารเฉพาะผักและผลไม้
  • เวลา 14 .00 . ดื่มน้ำผลไม้ เช่นน้ำสับปะรด น้ำมะละกอ ประมาณ 1 แก้ว หลังจากนั้นงดน้ำงดอาหารทุกอย่าง ถ้าหิวมากให้จิบน้ำเปล่าหรือน้ำด่าง (น้ำอัลคาไลด์) หลังจากนั้นเอาพิษออกจากร่างกายด้วยวิธีต่างๆ อาบน้ำ
  • เวลา 18.00 ดื่มน้ำดีเกลือ โดยนำดีเกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1/2 แก้ว คนให้เข้ากันดื่ม หลังจากนั้นงดดื่มน้ำทุกอย่าง (ดีเกลือจะทำให้ตับและถุงน้ำดีพองตัวและอ่อนตัว ช่วยระบาย ทำให้ไขมัน นิ่วหลุดออกมาได้)
  • เวลา 19.00 . ดื่มเกลือดำแก้อาการเพลีย (รายละเอียดอยู่ที่การล้างพิษสูตรหมอณา )
  • เวลา 20.00 . ดื่มน้ำดีเกลือ โดยนำดีเกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1/2 แก้ว อีก 1 แก้ว หลังจากนั้นงดดื่มน้ำทุกอย่าง (ดื่มน้ำดีเกลือ ถ้ารู้สึกขมปากให้อมมะนาว หรือจิบน้ำมะนาว)
  • เวลา 22.00 . (ไม่ควรเกิน 22.15 น.) ดื่มน้ำมันมะกอก 150 ซี.ซี. ผสมกับน้ำมะนาว 150 ซี.ซี. (บางคนอาจใช้น้ำ มะนาว 75 ซี.ซี และน้ำส้มคั้น 75 ซี.ซี) เขย่าให้เข้ากัน ให้ยืนดื่มเพื่อป้องกันไม่ให้ท่อน้ำดีพับงอ แล้วรีบนอนลงให้ศีรษะสูง หรือนอนตะแคงขวาลำตัวตรงหรือนั่งดื่มโดย นั่งเหยียดขา เอนตัว 45 องศาแล้วค่อยๆนอนลงไปให้ศีรษะสูง นอนนิ่งจนถึง 02.00 น. ถ้าไม่สบายในท้องสามารถใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบท้อง ช่วยให้ขับพิษออกจากตับและถุงน้ำดี ดีมากขึ้น (น้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวจะ ช่วยขับพิษจากตับและถุงน้ำดี) หลัง 02.00 น. สามารถเริ่มเก็บอุจจาระไว้วิเคราะห์โรคได้

ตื่นเช้าของวัน ต่อมา

  • เวลา 06.00 . ดื่มน้ำดีเกลือ โดยนำดีเกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1/2 แก้ว (ไม่ดื่มก็ได้)
  • เวลา 07.00 ดื่มเกลือดำแก้อาการเพลีย (รายละเอียดอยู่ที่การล้างพิษสูตรหมอณา)
  • เวลา 08.00 . ดื่มน้ำดีเกลือ โดยนำดีเกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1/2 แก้ว (ไม่ดื่มก็ได้) หลังขับถ่ายอุจจาระให้ดื่มน้ำสมุนไพรบำรุงกำลัง เช่น น้ำมะพร้าวสด น้ำขิง1 แก้ว (ถ้าไม่ขับถ่ายอุจจาระให้สวนล้างลำไส้    ก่อนดื่มน้ำ สมุนไพร)
  • เวลา 10.30 . สวนล้างลำไส้ใหญ่อีกครั้ง
  • หลังจากนั้น เริ่มรับประทานอาหารอ่อนๆ เพื่อบำรุงตับ (ศึกษาวิธีทำอาหารที่ หัวข้ออาหารและน้ำปรับสมดุลร่างกาย)


ขั้นตอนที่ 4.

ล้างลำไส้หลังล้างตับ หลังจากล้างพิษจากตับและถุงน้ำดีแล้ว การขับพิษต้องใช้เวลาในการเคลื่อนพิษออกจากร่างกาย จึงต้องรับประทานอาหารอ่อนๆประมาณ 3 วัน รับประทานยาบำรุงตับอย่างน้อย 7 วัน และสวนล้างลำไส้ใหญ่(ดีทอกซ์) อย่างน้อย 7 วัน เพื่อขับพิษออกจากร่างกายให้ประคบบริเวณหน้าท้องด้วยความร้อนโดยใช้ผ้าฝ้ายขนาดผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำมันมะกอกคลุมลงไปบริเวณหน้าท้อง แล้วใช้กระเป๋าน้ำร้อนวางทาบลงไป ใช้ผ้าห่อหน้าท้องไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงจะช่วยให้การขับนิ่ว ของเสียออกได้ดี(ถ้าไม่พร้อมไม่ต้องทำก็ได้) ในช่วงเวลานี้อาจพบก้อนนิ่ว ไขมัน ของเสียต่างๆหลุดออกมาพิษที่ออกจากตับ ตับอ่อน และถุงน้ำดี มีลักษณะดังนี้ 

  1. ลอยอยู่ข้างบน คือ ไขมันจากตับ และนิ่วจากถุงน้ำดี ไขมันจากตับจะมีสีเหลือง สีเขียว สีดำ ก้อนขรุขระ หรือ เป็นน้ำสีดำ สีเหลือง สีเทา มันติดมือล้างไม่ออก ต้องใช้น้ำยาล้างจาน หรือสบู่ล้างหลายๆครั้ง
  2. ลอยอยู่ตรงกลาง จะเป็นเซลล์มะเร็ง มีลักษณะเหมือนเห็ดหูหนูขาว
  3. อยู่ล่างสุดคือเม็ดเลือดแดง ที่หมดอายุ
  4. ลักษณะนิ่วจากถุงน้ำดี จะมีสีเขียว เหลือง ดำ ก้อนค่อนข้างกลม


อาการหลังล้างพิษ

จะรู้สึกอ่อนเพลีย อย่าตกใจ เป็นอาการปกติให้พักผ่อน เอาพิษออกด้วยวิธีอื่นๆ เช่น ตากแดด แช่มือ-แช่เท้า ให้รับประทาน อาหารอ่อนๆอย่างน้อย 3 วัน ค่อยรับประทานอาหารตามปกติ รับประทานยาบำรุงตับ และทำดีทอกซ์ เช้า – เย็น 7 วัน


ขั้นตอนที่ 5.

ฟื้นฟูตับ หลังจากที่ตับขับพิษออกแล้วอาจจะมีร่องรอยของแผลที่เกิดจากการหลุดลอกออกของนิ่ว ไขมัน หรือของเสียอื่นๆ อาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย การฟื้นฟูตับจึงเป็นสิ่งสำคัญสิ่งที่ต้องปฏิบัติคือ

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานยาบำรุงตับ
  • ดื่มและรับประทานอาหารบำรุงตับ เช่น น้ำผักผลไม้ปั่น ข้าวต้มเพื่อสุขภาพ (ดูรายละเอียดในหัวข้ออาหารและน้ำปรับสมดุลร่างกาย) โดยรับประทานอย่างน้อย 3 วัน หลังจากนั้นก็ปฏิบัติดูแลสุขภาพตนเองแบบพอเพียง ด้วยหลักปฏิบัติ 5 อ. (เอาพิษออก อาหารและน้ำปรับสมดุลร่างกาย อากาศ ออกกำลังกาย อารมณ์และจิตใจ) และหมั่นเอาพิษออกจากร่างกายเท่าที่รู้สึกสบาย

การล้างพิษตับและถุงน้ำดี    อาการ    ต่างๆจะหายได้อย่างชัดเจน ตามประสบการณ์มักพบว่าทำมากกว่า 5 ครั้งจะเห็นผลชัดเจน แต่บางราย 1 ครั้งก็เห็นผลได้    การล้างพิษตับ    และถุงน้ำดีควรทำห่างกัน 3 – 4 สัปดาห์ สามารถทำได้ทุกเดือน หรืออย่างน้อยปีละ 2-4 ครั้ง

การล้างพิษตับและถุงน้ำดีมีหลายวิธี สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมแต่ถ้าเป็นไปได้ในครั้งแรกของการล้างพิษตับและถุงน้ำดี ควรล้างใช้เวลาล้างอย่างน้อย 4-6 วันก่อน จึงสามารถทำแบบ 1 วัน 2 วัน หรือ 3 วัน หรือ 4 วัน หรือ 5 วัน หรือ 6 วัน ดังต่อไปนี้

สูตรการล้างพิษตับ 6 คืน 7 วัน( สูตรหมอณา)

สิ่งที่ต้องเตรียม

เตรียมตัว

  • เตรียมใจ ใจต้องพร้อม อดทน เข้าใจวิธีและผลการล้างพิษ

เตรียมร่างกาย 

  • ได้ทุกคน ทุกโรค ยกเว้น เด็กในวัยเจริญเติบโต คนที่ป่วยด้วยโรคเฉียบพลัน เช่นตับอักเสบเฉียบพลัน ไข้ ไข้หวัดเฉียบพลัน เพลียมากๆ อดอาหารพวก เนื้อ นม ไข่ น้ำมัน ของทอด ไม่ได้
  • ฝึกรับประทานอาหารสุขภาพมาก่อน หรือเคยอดอาหารมาจะดีมาก

เตรียมเวลา

  • เวลาที่พร้อม ว่าง วันหยุด ไม่เร่งรีบ ก่อนหรือหลังวันพระ 1 วัน

เตรียมสถานที่

  • มีห้องน้ำพร้อม สะดวก โปร่ง โล่ง สบาย

เตรียมยาวัสดุอุปกรณ์

  • ยาผงสมุนไพรล้างลำไส้ 10 ช้อนชา
  • น้ำแอปเปิล 100% 6 ลิตร หรือ น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล 27-30 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์สกัดเย็น 125-150 ซี.ซี
  • น้ำมะนาวคั้น 75 ซี.ซี
  • น้ำส้มคั้น 75 ซี.ซี
  • น้ำสับปะรดคั้น 1 แก้ว
  • ดีเกลือ 4 ช้อนชา
  • เกลือดำ 3 ช้อนชา
  • ยาสมุนไพรบำรุงตับ
  • น้ำผึ้ง
  • น้ำสะอาด
  • อุปกรณ์เอาพิษออก เช่น กาแฟดีทอกซ์ ขวดดีทอกซ์ ชุดกัวซา อื่นๆ
วันที่ กิจกรรม หมายเหตุ
วันที่
1-5
  • ตอนเช้าให้อมน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นกลั้วปาก 10-15 นาที แล้วล้างปากด้วยน้ำเปล่า ออกกำลังกาย ตากแดด สวนล้างลำไส้ใหญ่
  • ดื่มน้ำแอปเปิล หรือน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลผสมน้ำผึ้งผสมน้ำเปล่า
 เวลา 8.00 -10.00-12.00 – 14.00-16.00 น. (ประมาณ 200 ซี.ซี ต่อครั้ง ดื่มก่อนอาหาร 30 นาที หรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง)
  • งดอาหาร เนื้อ นม ไข่ น้ำมัน(ผัด ทอด ย่าง ปิ้ง) เนย น้ำเย็น รับประทานอาหารสุขภาพ เช่นจากธัญพืช ผัก ผลไม้ไม่รับประทานอิ่มอาหารจนเกินไป
  • ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 2 ลิตรหรือมากกว่านั้น
  • ก่อนนอน (เวลา 20.00 น.) ให้รับประทานยาล้างลำไส้ 2 ช้อนชา ผสมน้ำ
สะอาด 1 แก้ว ใส่ในขวดปากกว้างที่มีฝาปิดเขย่า 10-20 ครั้ง ให้เข้ากัน 
รีบดื่มแล้วดื่มน้ำเปล่าตาม 2 แก้ว(ดื่ม 5 วัน)
  • ในระหว่างล้างพิษอาจมีอาการไม่สบาย เช่น ปวดศีรษะ เพลีย ปวดตามร่างกาย ให้เอาพิษออกด้วยวิธีต่างๆ เช่น สวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำสมุนไพรที่ถูกกับร่างกาย เช้า-เย็นหรือมากว่า (ตอนเช้าควรใช้กาแฟดีทอกซ์ช่วยล้างพิษตับ แก้เพลีย โดยผสมยาบำรุงตับ เช่น ยาฉีด วิตามินบีรวม ยาเฮปาวิต อย่างใด อย่างหนึ่ง ดูดตัวยา 1 หลอด ผสมลงไปในน้ำกาแฟ ) แช่มือ-แช่เท้า-กัวซา
  • พอกทา-ตากแดด-อบแดด –กดจุดเส้นลมปราณ-ฝึกหายใจ
  • พักผ่อน อื่นๆ ให้จัดสรรเวลาตามความสะดวกและเหมาะสม
 – นอนหลับพักผ่อนไม่เกิน 3 ทุ่ม นอนดึกตับจะทำงานหนัก
วิธีผสมน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล
กับน้ำผึ้งและน้ำเปล่า
 โดยนำน้ำส้มสายชูหมัก100%  1 ช้อนโต๊ะ
  ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 120-170 ซี.ซี คนให้เข้ากันดื่มแทนน้ำแอปเปิลใน
กรณีที่เป็นเบาหวานไม่ให้ดื่มน้ำแอปเปิลให้
ใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลแทน
วันที่ 6
  • อาหารเช้าควรเป็นน้ำข้าวกล้องงอก ห้ามกินน้ำตาลหรือน้ำตาลเทียม
 เครื่องเทศ นม เนย โยเกริ์ต ของมันทุกชนิด อาหารที่มีโปรตีน คือ เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว ต่าง ๆ ขนมต่าง ๆและของที่เกี่ยวกับนมเนย เพื่อให้ตับสะสมน้ำดีไว้ใช้งานเวลาล้างและอย่าให้อิ่มมาก
  • ดื่มน้ำแอปเปิล หรือน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลผสมน้ำผึ้งผสมน้ำเปล่า
 เวลา 8.00 -10.00-12.00 น. (ประมาณ 200 ซี.ซี ต่อครั้ง ดื่มก่อนอาหาร
 30 นาที หรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง)
  • เวลา 14.00 น ให้รับประทานน้ำผลไม้คั้นสด เช่นน้ำสับปะรด น้ำมะละกอดิบ หรือห่าม 1 แก้ว หลังจากนั้นให้งดอาหารทุกอย่างถ้าหิวให้จิบน้ำเปล่า ถ้างด
อาหารทุกอย่างได้จะดีมาก
  • เวลา 18.00 น . และ 20.00 น. ให้ดื่มน้ำดีเกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1/3 แก้ว ถ้าขมปาก เฝื่อนปากให้อมมะนาวจิ้มเกลือ ก่อนและหลังดื่มน้ำดี
เกลือให้งดน้ำอย่างน้อย 20 นาที
  • เวลา 19.00 น. ให้ดื่มเกลือดำผสม 4 แก้ว
  • เวลา 22.00 น. ไม่เกิน 22.15 น. ให้ดื่มน้ำมะนาว 75 ซี.ซี. ผสมกับน้ำส้มคั้น 75 ซี.ซี. น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์สกัดเย็น 125-150 ซี.ซี. เขย่าให้เข้ากันดื่ม
 โดยให้นั่ง 45 องศา (นั่งเอนหลังไม่ให้ท้องงอเหยียดขาออก แล้วดื่มให้หมด
 นอนลงไปไม่ให้ตัวงอใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบท้องจนถึง ตีสอง ถ้ารู้สึกไม่
 สบายให้อมมะนาวจิ้มเกลือ หรืออาจเดิน ห้ามนั่งหรือนอนตัวงอ อาจทำให้ 
ท่อน้ำดีพับงอของเสียระบายไม่ดี)
  • วันที่ 6 ให้ดื่มน้ำแอปเปิลถึง เที่ยง

วิธีผสมเกลือดำ

  • เกลือดำ 1 ช้อนชาครึ่งเคี่ยวกับ
น้ำตาลอ้อย 3 ช้อนโต๊ะ แล้วผสมน้ำต้มใบเตยอุ่น 4 แก้ว ดื่มเวลาละ 4 แก้ว
วันที่ 7
  • เวลา 02.00 น. ดื่มน้ำบีทรูท 1 แก้ว
  • เวลา 06.00 น. และ 08.00 น. ดื่มดีเกลือ
  • เวลา 07.00 น.ดื่มเกลือดำ/ถ้ารู้สึกไม่สบายสวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟ
หรือน้ำสมุนไพรที่ถูกกับร่างกาย
  • เวลา 8.30. ดื่มน้ำขิงตามด้วยน้ำมะพร้าวสดหรือน้ำมะพร้าวเผา และรับประทานน้ำซุป (ยังไม่ทานข้าวต้มจนกว่าจะสวนล้างลำไส้ใหญ่เวลา 10.30 น.)
  • ตอนเช้าให้แช่มือ-เท้า–อาบน้ำอุ่น–ตากแดด
  • เวลา 10.30 น.ให้สวนล้างลำไส้ใหญ่อีกครั้ง (ครบ 12 ชั่วโมง ที่ของเสียเคลื่อนมาถึงลำไส้ใหญ่ ควรจะสวนล้างลำไส้ใหญ่)
  • เวลา 11.00 น.หลังจากนั้นรับประทานน้ำผักผลไม้ปั่นรวมรับประทานข้าวต้ม
ใส่ถั่วดำและพุทราจีน (เป็นหลักหรือจะแยกทำเป็นของหวาน)
  • รับประทานอาหารสุขภาพอย่างน้อย 3 วัน
  • รับประทานยาบำรุงตับ 7 วัน
  • ให้สวนล้างลำใหญ่ด้วยกาแฟ (ถ้าผสมวิตามินบำรุงตับ 1 หลอด เช่น เฮปาวิตลงไปด้วยจะดี) ในช่วงเวลาเช้า ถ้าเป็นตอนเย็นให้เลือกสมุนไพรที่ถูกกับ
ร่างกายถูกกับสภาพอากาศ เย็น น้ำต้มตะไคร้ น้ำต้มใบเตย อื่นๆ 
อย่างน้อย 7 วัน
ให้สังเกตของเสียที่เริ่มขับออกมาตั้งแต่
     เวลา 02.00 น.

  1. ลอยอยู่ข้างบน คือไขมันจากตับ และ
นิ่วจากถุงน้ำดี ไขมันจากตับจะมี
 สีเหลือง สีเขียว สีดำ ก้อนขรุขระ หรือ
เป็นน้ำสีดำ สีเหลือง สีเทา มันติดมือ
ล้างไม่ออก ต้องใช้น้ำยาล้างจาน หรือสบู่
ล้างหลายๆครั้ง
  2. ลอยอยู่ตรงกลาง จะเป็นเซลล์มะเร็ง
 มีลักษณะเหมือนเห็ดหูหนูขาว
  3. อยู่ล่างสุด คือเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ
  4. ลักษณะนิ่วจากถุงน้ำดี จะมีสีเขียว เหลือง
 ดำ ก้อนค่อนข้างกลม

 

มหัศจรรย์ น้ำมันมะพร้าว

มาลดความอ้วนด้วยน้ำมันมะพร้าว

ผู้อ่านไม่ต้องแปลกใจ ทำไมฉบับนี้ผู้เขียนจึงต้องหยิบเรื่องการลดความอ้วนมาเขียนทั้งที่ไม่ได้เป็นหมอ ผมเองได้มีโอกาสได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับมหัศจรรย์น้ำมันมะพร้าวที่ อาจารย์ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย ได้เขียนไว้น่าสนใจมากๆ เกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวที่มีความมหัศจรรย์มากมาย ที่ยังไม่รู้และไม่เข้าใจ แต่พอได้อ่านได้สัมผัส และได้ทดลองใช้กับผู้เชียนเองได้ผลดีมากต่อร่างกาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับการลดความอ้วนและน้ำหนักได้ดี การที่ผมได้หยิบเอาเรื่องเกี่ยวกับความอ้วนมาเขียนนั้นก็เพราะว่า อดเป็นห่วงสุขภาพเพื่อนสมาชิกไม่ได้ เพราะความอ้วนเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ มากมายรวมถึงมีภาวะที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าคนปกติ โรคที่พบบ่อย ได้แก่ ไขมันในเส้นเลือด ความดันโลหิตสูง นอกจากนั้นคนอ้วนมีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงกว่าคนปกติถึง 2 เท่า โรคหัวใจ และมีโอกาสเป็นโรคหัวใจเสื่อมถึง 70% โรคเบาหวาน โรคข้อเสื่อม และข้ออักเสบ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคมะเร็งบางชนิด และโรคอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งทำให้เสียบุคลิคภาพดูไม่สวยงาม

ในปัจจุบันจะได้เห็นได้ว่านิยมผู้ที่มีรูปร่างผอมเพรียว โดยเฉพาะวงการนางแบบที่ต้องการรูปร่างเป็นใบเบิกทาง สำหรับบางคนที่เกิดมาหุ่นดีถือว่าโชคดีไป แต่บางคนเกิดมาหุ่นไม่ดีแล้วแถมยังกินไม่บันยะบันยังแล้วความอ้วนก็จะตามมาอย่างทันตาเห็น แต่พ่อจะลดน้ำหนักก็ลดยาก ก็หันไปพึ่งหมอทั้งดูดไขมัน กินยา ลดความอ้วน กินมากเข้าก็มีปัญหาสุขภาพและผลข้างเคียงมากมาย สำหรับการกินยาเพื่อลดความอ้วน ก็จะได้ผลเพียงชั่วครั้งชั่วคราว พอหยุดยาก็กลับมากินอาหารแบบทวีคูณ หรือภาษาอังกฤษ เรียกว่า YoYo ซึ่งทำให้เสียงทั้งเงินและสุขภาพ

ทำไมเราจึงอ้วน

กินอาหารมากเกินไป อาหารเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เพื่อนำไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และใช้เผาผลาญเป็นพลังงาน แต่ถ้าหากรับประทานมากเกินไปและใช้ไม่หมด เนื่องจากไม่มีการออกกำลังกาย หรือไม่มีกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงาน อาหารก็จะเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อสำรองใช้ยามจำเป็น จึงเป็นสาเหตุของความอ้วน

ความผิดปกติของต่อมที่ควบคุมการเจริญเติบโต คนที่เป็นโรคที่ต่อมธัยรอยด์ทำงานในระดับต่ำกว่าปกติ (hypothyroidism) ทำให้มีอัตราการเมทาบอลิสซึมช้าลง โดยเฉพาะไปเพิ่มไขมันเลว LDL แต่น้ำมันมะพร้าวสามารถเปลี่ยน LDL ให้เป็นเปรกนีโนโลน (prenenolone) โปรเจรเตอรอล (progesterol) และดีไฮโดรปิแอนโดรสเตอรอล (dehydropiandrosterol DHEA) สารเหล่านี้ช่วยทำให้คงระดับการเผาผลาญอาหาร จึงไม่มีอาหารสะสมเป็นไขมัน (Lee, 2005) ในทำนองเดียวกันกบผู้สูงวัยก็มักจะอ้วนขึ้น ทั้งนี้้เพราะความผิดปกติของต่อมธัยรอยด์

กินไขมันไม่เพียงพอ มีผลงานวิจัยที่แสดงว่า คนที่บริโภคอาหารที่มีไขมันอย่างเพียงพอจะกินอาหารน้อยกว่าคนที่พยายามลดไขมันในอาหาร ยิ่งคุณกินน้อยลงเท่าไหร่ ปริมาณแคลอรีก็น้อยลงตามไปด้วย การได้ปริมาณไขมันในอาหารอย่างเพียงพอมีความจำเป็นสำหรับการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ และอย่างถาวร เหตุผลอันหนึ่งที่ไขมันมีความจำเป็นสำหรับการลดความอ้วน เพราะมันทำให้เราอิ่มทนไม่หิวเร็ว

การเคี้ยวอาหารน้อยลง มีข้อสังเกตว่า คนอ้วนมักจะรับประทานอาหารรวดเร็ว ไม่ค่อยเคี้ยวทำให้รับประทานได้มากกว่า จะมีการส่งสัญญาณจากกรเพาะไปยังสมองให้รับรู้และอิ่ม (ชุติมา, 2550) ดังนั้นจึงไม่เกิดความอยากกิน ผลคือเรากินอาหารน้อยลง

น้ำมันมะพร้าวช่วยลดความอ้วนได้อย่างไร

หลายท่านอาจมีคำถามที่ค้านอยู่ในใจว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันที่อิ่มตัวและเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะไม่ทำให้อ้วนไปกันใหญ่หรือ? ด้วยคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวนั้นมันจะมีคุณสมบัติหลายประการ คือ (Fife, 2005 a)

1. ให้พลังงานน้อย และเปลี่ยนเป็นพลังงานทันที : เนื่องจากเป็นกรดไขมันขนาดกลาง น้ำมันมะพร้าวจึงเป็นไขมันที่มีพลังงานน้อยที่สุด คือเพียง 8.6 แคลอรี่ต่อกรัม เปรียบเทียบกับไขมันชนิดอื่นๆ ซึ่งให้พลังงานถึง 9 แคลอรีต่อกรัม นอกจากนั้น น้ำมันมะพร้าวยังย่อยได้ง่าย และเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว เมื่อบริโภคเข้าไป มันจะผ่านจากลำคอไปยังกระเพาะต่อไปยังลำไส้ แล้วไปเปลี่ยนเป็นพลังงานในตับ ภายในเวลา 24 ชั่วโมง โดยไม่เปลี่ยนเป็นไขมันที่จะไปสะสมในร่างกายเช่นเดียวกับน้ำมันอื่นๆ จากการศึกษาเปรียบเทียบการบริโภคน้ำมันชนิดต่างๆ Ingle และคณะ (1999) และ Enig (1999) พบว่ากรดไขมันอิ่มตัวที่มีสูตรโครงสร้างสั้น ลดการสังเคราะห์และการเก็บสะสมไขมัน ดังนั้นการบริโภคเนยหรือน้ำมันมะพร้าว ซึ่งมีไขมันอิ่มตัวที่สูตรโครงสร้างสั้นและปานกลาง จึงมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องการลดความอ้วน โดยการบริโภคอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่เป็นไขมันที่มีโอเลกุลมีความยาวมาก และโดยเฉพาะเป็นน้ำมันที่ไม่อิ่มตัวกลับอ้วนกว่าเดิม

2. กระตุ้นให้ต่อมธัยรอยด์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ : น้ำมันมะพร้าว กระตุ้นให้ต่อมธัยรอยด์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน หรือเมตาบอลิซึม ทำงานได้รวดเร็วขึ้น จึงช่วยทำให้อาหารอื่นที่รับประทานเข้าไร้อมกับน้ำมันมะพร้าว เปลี่ยนไปเป็นพลังงานจึงมาสะสมเป็นไขมันร่างกาย

3. ช่วยนำไขมันที่สะสมไว้มาใช้เป็นพลังงานนอกจากตัวของมัน และอาหารที่บริโภคเข้าไปพร้อมกัน จะเปลี่ยนเป็นพลังงานอย่างรวดเร็วแล้ว น้ำมันมะพร้าว ซึ่งไปเร่งกระบวนการเมตาบอลิซึมในอัตราที่สูงขึ้น ทำให้เกิดความร้อนสูง (thermogenesis) คล้ายกับบุคคลประเภทไฮเปอร์ธัยรอยด์ (hyperthyroid) ที่ต่อมธัยรอยด์ทำงานในอัตราที่สูงกว่าคนธรรมดา บุคคลพวกนี้จึงใช้พลังงานมาก (เพราะเป็นคนประเภทกระฉับกระเฉง และไม่อ้วน) เพราะอาหารที่รับประทานเข้าไปพร้อมกับน้ำมันมะพร้าว ถูกเผาผลาญเป็นพลังงานจนหมดสิ้นไม่สะสมเป็นไขมันในร่างกาย และจากผลของ thermogenesis ยังไปนำไขมันที่ร่างกายสะสมไว้ ออกมาใช้เป็นพลังงาน ดังนั้นน้ำมันมะพร้าวจึงช่วยลดความอ้วนได้

วิธีใช้น้ำมันมะพร้าวเพื่อลดความอ้วน

เราสามารถบริโภคน้ำมันมะพร้าวเพื่อลดความอ้วนได้หลายวิธี ที่นิยมและแพร่หลายคือ

1. บริโภคน้ำมันโดยตรง ได้แก่ การนำน้ำมันมะพร้าวเข้าปากโดยใช้ช้อน หรือดื่มจากภาชนะ การใช้ช้อน จะช่วยให้กะปริมาณได้ใกล้เคียงกับที่ต้องการ เช่น กี่ช้อนโต๊ะ ในขณะที่ดื่มจากภาชนะ สะดวก แต่กะปริมาณไม่ได้ดี หลายคนมักจะคิดว่า การบริโภคน้ำมันมะพร้าว เป็นของยาก เพราะใจคิดอยู่เสมอว่าน้ำมันมะพร้าว ก็คือน้ำมันพืช ซึ่งเหนียวเหนอะหนะ และเวลาดื่มเข้าไปในลำคออาจคลื่นไส้ แต่ในความเป็นจริง น้ำมันมะพร้าวมีกลิ่นหอม ไม่เหนือเหนอะหนะและสามารถดื่มลงคอได้โดยสะดวก ไม่มีติดอยู่ที่คอเหมือนน้ำมันพืชชนิดอื่น การรับประทานน้ำมันมะพร้าวจะรับประทานในอัตรา 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนอาหาร 30 นาที หรือทุกวันหลังจากตื่นนอน ให้ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว ผสมกับน้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะทันที (เติมน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำหนักตัวทุกๆ 23 กิโลกรัมที่เกินจากน้ำหนักมาตราฐาน) จะเป็นสูตรลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน

2. ผสมในอาหารและเครื่องดื่ม น้ำมันมะพร้าวสามารถเข้ากันได้กับอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด เช่น ซุป โจ๊ก แกงจืด น้ำส้ม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ โอวัลติน ฯลฯ โดยไม่ได้ทำให้อาหารและเครื่องดื่มเปลี่ยนรสชาติ หรือสูญเสียคุณค่าทางอาหาร และความอร่อยไป

3. ปรุงไปในอาหาร เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวปรุงอาหารได้ โดยการผัด หรือทอด (ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนเป็น ทรานส์แฟตส์ (trans fats) ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เหมือนน้ำมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายที่ถูกกับความร้อนสูง) หรือแม้แต่เป็นตัวทำให้อาหารไม่ติดกระทะ หรือภาชนะ เช่นในการเจียวไข่ ทำพิซซ่า

4. ใช้ร่วมกับสปา สปา (spa) เป็ฯคำย่อของศัพท์ภาษาละติน Sanus Per Aqua หมายถึง วิธีการดูแลสุขภาพโดยการทำความสะอาด และเสริมอาหารบำรุงให้ลึกถึงผิวชั้นใน มีิวิธีต่างๆ เช่น การนวด การบำบัดด้วยน้ำ การใช้กระแสไฟฟ้า ปัจจุบันมีการใช้น้ำมันมะพร้าวในกิจการสปามากมาย เพราะซึมเข้าในร่างกายได้เร็ว มักผสมด้วยน้ำมันหอมระเหยเพื่อช่วยให้มีกลิ่นหอม โดยใช้นวดเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และในขณะเดียวกัน ก็ช่วยลดความอ้วนไปในตัว

พิมพ์จาก ข่าวสาร สหกรณ์ออมทรัพย์กรมวิชาการเกษตร จำกัด คณะกรรมการดำเนินการชุดที่ 35 ปีที่ 35 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มีนาคม 2553

เอกสารอ้างอิง

ณรงค์ โฉลมเฉลา.2552.น้ำมันมะพร้าวลดความอ้วนได้อย่างไร?.เอกสารวิชาการฉบับที่ 2/2552.ชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย,กรุงเทพฯ

ณรงค์ โฉมเฉลา.2552.สวยด้วยน้ำมันมะพร้าว เอกสารวิชาการฉบับที่ 1/2552.ชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย,กรุงเทพฯ

ชุติมา ศิริกุลชยานนท์.2550.การเคี้ยวรักษาโรคอ้วนและสมองเสื่อมได้จริงหรือ.วารสารโภชนาการ:ปีที่ 42 ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน หน้า :38-39

ล้างพิษด้วยชาเขียว : Wikipedia

ชาเขียว ได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเป็นยาบำบัดมายาวนาน และยังสอดคล้องกับผลการวิจัยในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์อีก ด้วย โดยเฉพาะคุณสมบัติที่โดดเด่นของชาเขียวก็ คือ การช่วยล้างพิษออกจากร่างกายได้ลึกถึงระดับเซลล์ สรุปกลไกการทำงานของชาเขียวในการล้างพิษได้ดังนี้
  1. ฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของชาเขียวช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจ ชะลอความชรา ลดขบวนการทำลายสารพันธุกรรมและยับยั้งการก่อมะเร็ง
  2. ความจำเพาะเจาะจงในการกระตุ้นเอ็นไซม์ที่ ทำหน้าที่ขจัดสารพิษในตับของชาเขียวช่วยเพิ่มขบวนการขจัดสารพิษที่ได้รับจาก อาหาร ยา และสารพิษอื่นๆ ได้ดีขึ้น และทำให้สุขภาพของตับดีขึ้นด้วย
  3. ความสามารถในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลมะเร็งของชาเขียว ช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลที่ผิดปกติ เนื้องอก และเซลมะเร็งได้
  4. ชาเขียวช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้มีการพัฒนาการทำงานได้ดี ขึ้น จึงลดการแทนที่จากแบคทีเรียที่ไม่ดีได้ ส่งผลให้การเผาผลาญอาหารได้ดีขึ้น
  5. ช่วยลดคลอเรสเตอรอล LDL และเพิ่ม HDL ซึ่งเป็นไขมันที่ดี ชาเขียวจึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไขมันอุดตันหลอดเลือดได้ ซึ่งเป็นผลดีต่อหัวใจและสมอง
  6. ชาเขียวสามารถยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นปาก ป้องกันฟันผุ และบรรเทาอาการเหงือกอักเสบ
  7. ชาเขียวยังช่วยควบคุมน้ำหนักโดยออกฤทธิ์ร่วมกับ Caffeine ในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน ในระหว่างวันของร่างกายให้มากขึ้น

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7

"ชาละอู" วิถีทางล้างพิษแบบฤาษี

“ชาละอู” วิถีทางล้างพิษแบบฤาษี

ภาวะความตึงเครียดในชีวิตประจำวัน  บวกกับการใช้ชีวิตท่ามกลางสารพิษที่มีอยู่รอบตัว  ทำให้อัตราการเจ็บป่วยของคนไทยในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นทวีคูณ  เมื่อเปรียบเทียบกับในอดีตที่นักบวชสายฤาษีที่อยู่ท่ามกลางป่าเขาในดินแดน อันห่างไกล  วิทยาการทางการแพทย์ส่วนใหญ่ที่มักจะใช้ภูมิปัญญาความรู้ด้านวิถีทาง ธรรมชาติ  มาบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้หายขาดได้อย่างไม่น่าเชื่อ

อาจารย์บูรพา  ผดุงไทย  ถือเป็นคนหนึ่งที่พยายามค้นหาวิธีการรักษาสุขภาพตนเองตามแนวทางธรรมชาติ บำบัดที่ไม่ต้องพึ่งยาและสารเคมีในการรักษาโรค  จนได้ค้นพบศาสตร์แนวใหม่สำหรับการรักษาโรคของเหล่าฤาษี  จึงเป็นที่มาของสูตรชาล้างพิษ  สมุนไพรใบหม่อนละอูผสมเจี่ยวกู้หลาน  ที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันก่อน  ณ  หอประชุมพุทธคยา  อาคารอัมรินทร์พลาซ่า

Continue reading