Ashley Ann Kuzma ครูวัย 32 ปี เสียชีวิตจากมะเร็งกล่องเสียง เธอเขียน #obituary ให้ตัวเองก่อนตาย นัดหมายวันเวลาให้คนรู้จักมาในงานศพของตัวเอง เธอบอกว่า บทเรียนของชีวิตคืออย่าปล่อยให้อะไรที่ไม่สำคัญมาสร้างความรำคาญใจกับเรา
Continue reading
Ashley Ann Kuzma ครูวัย 32 ปี เสียชีวิตจากมะเร็งกล่องเสียง เธอเขียน #obituary ให้ตัวเองก่อนตาย นัดหมายวันเวลาให้คนรู้จักมาในงานศพของตัวเอง เธอบอกว่า บทเรียนของชีวิตคืออย่าปล่อยให้อะไรที่ไม่สำคัญมาสร้างความรำคาญใจกับเรา
Continue readingแนวคิดคนรวยทั้ง 5 ข้อต่อไปนี้ ถ้าบอกว่าเป็นข้อคิดดี ๆ จากเด็กหนุ่มวัยเพียง 17 ปี ที่สามารถหาเงินกินขนมได้เดือนละ 1 ล้านกว่า ๆ อยากรู้ไหมว่าเขาทำได้ยังไงกัน
ตอนอายุ 17 เรากำลังทำอะไรกันอยู่ ? ถ้าลองย้อนนึก ๆ ดูคงเจอแต่ความสดใสในช่วงวัยรุ่น มีมิตรภาพดี ๆ ระหว่างเพื่อนและการเล่นสนุกไปวัน ๆ แต่กับเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะด้วยวัยเพียง 17 ปี ตอนนี้เขาก็สามารถหาเงินเข้าบัญชีได้เดือนละล้านกว่าบาทแล้ว
โดยในตอนที่ Temper Thompson หนุ่มน้อยชาวอเมริกันคนนี้กำลังเรียนอยู่เกรด 8 (ประมาณมัธยมศีกษาปีที่ 2) เขาก็คิดอยากหารายได้ด้วยตัวเอง เพื่อที่จะไม่ต้องแบมือขอเงินพ่อแม่อีกต่อไป แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยถนัดงานขายอาหารอย่างคนอื่น เจ้าหนุ่มคนนี้เลยคิดจะอาศัยเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยหารายได้แทน เขาจึงเริ่มลงมือทำ Online Marketing ด้วยการขายหนังสือออนไลน์ผ่าน Kiddle Publishing เว็บไซต์หารายได้บนโลกออนไลน์ของ Amazon ที่ว่ากันว่าเป็นเว็บไซต์ Online Marketing อันดับต้น ๆ ในสหรัฐฯ ซึ่งในตอนนั้น Temper Thompson ก็ได้ตั้งเป้าว่าจะหาค่าขนมจากช่องทางนี้ให้ได้เดือนละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 3,500 บาท
ทว่าไป ๆ มา ๆ ณ ปัจจุบัน Temper Thompson กลับสร้างรายได้จาก Online Marketing ได้ถึง 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ ล้านกว่าบาทต่อเดือน ซึ่งการดำเนินธุรกิจให้รุ่งโรจน์เช่นนี้ได้ Temper Thompson ก็ได้เผย 5 แนวคิดแบบคนรวย ที่อาจทำให้ผู้ใหญ่บางคนยังต้องอึ้ง !
1. ต้องลงมือทำ
Temper Thompson บอกว่า ถ้าไม่ลงมือทำ แล้วเมื่อไรจะสำเร็จ ฉะนั้นหากอยากประสบความสำเร็จก็ไม่ควรรีรอหรืออ้างเหตุผลอะไรอีกต่อไป แค่คุณลงมือทำสิ่งที่คิดไว้เท่านั้น ก็เท่ากับมีโอกาสเดินไปถึงความสำเร็จมากขึ้นแล้ว เหมือนอย่างที่เขาก็ลงมือสร้างธุรกิจของตัวเองตั้งแต่กำลังเรียนอยู่เกรด 8 นั่นยังไงล่ะ
2. อย่ากลัวที่จะล้ม
บทเรียนที่ทุกคนควรได้รับก็คือบทเรียนแห่งความพยายาม ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และบางครั้งเราก็ไม่สามารถจะควบคุมมันได้ แต่สิ่งเดียวที่เราทำได้คือการลุกขึ้นมาพยายามใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะฉะนั้นความผิดพลาดหรือการล้มไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่นั่นเป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และนำสิ่งเหล่านั้นมาพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นต่างหาก
3. มุ่งมั่น ตั้งใจ
ทุกวันนี้คนเรามักจะใส่ใจอะไรเพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มวัย 17 ปีไม่ค่อยจะเห็นด้วยนัก เพราะเขามีแนวคิดที่ว่า เราจะสามารถเดินไปถึงเส้นชัยได้รวดเร็วขึ้น เมื่อเราให้ความใส่ใจหรือทุ่มเทกับอะไรเพียงแค่อย่างเดียว
4. อยู่กับคนที่คิดบวก
พลังแห่งความคิดบวกจะช่วยผลักดันให้คุณคว้าความสำเร็จมาได้ หรืออย่างน้อย ๆ คนคิดบวกก็อาจจะสร้างแรงบันดาลใจให้คุณโดยไม่รู้ตัว เหมือนอย่างที่ครอบครัว Thompson ได้ทำ โดยพ่อและแม่ของเขาก็เป็นเจ้าของร้านกาแฟ และดำเนินธุรกิจของครอบครัวมาด้วยความสุขสันต์หรรษา ซึ่งนี่ก็เปรียบเสมือนแรงผลักดันให้ Temper อยากสร้างธุรกิจที่นำพาความสุขและรายได้มาให้ตัวเองเช่นกัน
5. อย่าสบายจนเคยตัว
ความสะดวกสบายที่มากเกินไปอาจทำให้เรากลายเป็นคนขี้เกียจได้ Temper คิดอย่างนั้น เขาจึงแนะนำให้ทุกคนมีความแอ็คทีฟ มีแรงผลักดันที่จะสานต่อในสิ่งที่ตัวเองทำ อย่างเช่นเขาที่ตั้งเป้าหารายได้ 100 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อครั้งเริ่มลงทุน ซึ่งเมื่อบรรลุเป้าหมายเขาก็ไม่อยู่เฉย พยายามคิดหาวิธีเพิ่มรายได้จนเขยิบมาที่ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน และยังขับเคลื่อนธุรกิจต่อมาจนรายได้แตะหลักหมื่นดอลลาร์ และจวบจนทุกวันนี้เจ้าหนุ่มน้อยก็ได้ตั้งเป้าให้ธุรกิจของตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่คิดจะหยุดพัฒนาตัวเอง
ทั้งนี้ Temper ยังฝากมาด้วยว่า ยิ่งคุณสบาย คุณก็จะยิ่งไม่ได้ทำอะไร แต่ยิ่งคุณเหนื่อยเท่าไร ก็เหมือนยิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จที่อยากได้มากเท่านั้น
ที่มา :
http://money.kapook.com/view141623.html
http://wisethailand.com/ecetopics/viewtopic.php?id=11005117
เห็นว่าน่าสนใจสำหรับคนทำสื่อหรือเผยแพร่ข่าวสารเรื่องราวที่สมัยนี้ไม่ใช่แค่การสื่อสารทางเดียวหรือเป็นการรับข่าวสารจากสื่อกระแสหลักแค่ไม่กี่เจ้าที่มีเอกสิทธิ์อย่างสมัยก่อนแล้ว เป็นเรื่องที่มีเรื่องให้ไตร่ตรอง คิด พิจารณา น่าสนใจอยู่มากทีเดียว
11 สิงหาคม, 2015 – 21:46 | โดย Shintaro
เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคมที่ผ่านมา หนุมอายุ ๑๓ ปีถูกยิงที่บ้านที่อยู่ใน อ. ยะหา จ. ยะลาและเสียชีวิตคาที่ เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนในพื้นที่ เพราะเหยื่อเป็นพลเมือง และเหตุการณ์เกิดขึ้นในสถานที่พลเมือง (บ้านของเหยื่อ) และเหยือก็ยังเป็นเด็ก
สิ่งที่น่าศร้าก็เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์นี้ โดยมีสำนักข่าวบางสำนัก นักข่าวบางคน และผู้ใช้โซเซียลมีเดียจำนวนมาก เผยแพร่ภาพศพนองเลือดของผู้ที่เป็นเหยื่อ จริงๆ แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้คนจำนวนมากแชร์ภาพลักษณะเดียวกัน (ภาพศพนองเลือด) หลังจากมีเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิต รวมไปถึงอุบัติเหตุบนถนนที่มีผู้เสียชีวิตเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เราต้องคิดก่อนว่า เราควรกระทำเช่นนี้หรือไม่ เพราะผมเชื่อว่า การกระทำเช่นนี้มีแต่ผลกระทบโดยไม่เป็นประโยชน์อะไรต่อฝ่ายใด
ภาพศพนองเลือดที่ปรากฏในข่าวและโซเซียลมีเดียเป็นภาพของคนที่ผมไม่รู้จักอย่างเป็นส่วนตัวทั้งนั้น แต่ผมก็ยังรู้สึกสงสารต่อเหยื่อ และนึกไม่ออกว่า ครอบครัวของเหยื่อจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นผู้คนหลายๆ คนแช่ภาพศพของสมาชิกครอบครัว เพราะถ้าหากว่าผมเป็นเหยื่อในเหตุรุนแรงหรืออุบัติเหตุแบบนี้ ผมก็ไม่อยากจะให้สื่อเผยแพร่ภาพศพของผม ถ้าสมมุติว่า ครอบครัวหรือเพื่อสนิทเป็นเหยื่อ สิ่งที่ผมไม่ต้องการที่สุดก็คือสื่อจะนำภาพศพและเผยแพร่
หลังจากสูญเสียลูกชายทั้งสามคนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน อ. บาเจาะ จ. นราธิวาสเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ปีที่แล้วก็มีการเผยแพร่ภาพศพของเด็กเหล่านี้ แต่เมื่อมีคนถามถึงการกระทำนี้กับผู้ที่เป็นแม่ของเด็กที่เสียชีวิต คุณแม่ก็อธิบายว่า ถ้าจะใช้ภาพของลูกก็ขอใช้ภาพของพวกเขาเมื่อพวกเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะภาพศพนั้นกระทบความรู้สึกของตน
ด้วยเหตุนี้ เราก็ไม่ควรจะเผยแพร่ภาพศพ เพราะการเผยแพร่ภาพศพเป็นการกระทำที่ขาดความเคารพต่อความเป็นมนุษย์และความรู้สึกของครอบครัว ถ้าเราต้องการจะถ่ายทอดความรุนแรงและความโหดเหี้ยมก็ควรใช้วิธีการอื่น โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่า เราสามารถถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้โดยใช้ภาษา และไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่เราต้องใช้ภาพศพ
งานศพเป็นหนึ่งในพิธีที่สำคัญในทุกศาสนา เพราะศาสนาทุกศาสนาก็สอนให้เรามีความเคารพต่อผู้เสียชีวิต เช่นในศาสนาอิสลาม เราควรฝั่งศพภายในเวลาอันไม่ช้า เพื่อไม่ให้ศพนั้นจะส่งกลิ่นเหม็น และในงานศพเราก็ไม่ควรกล่าวถึงข้อเสีย จุดอ่อนหรือปัญหาของผู้เสียชีวิตด้วย แม้แต่ในสงคราม ศาสนาอิสลามก็สอนให้ศาสนิกชนต้องเคารพศพ ไม่ว่าจะเป็นศพของคนที่อยู่ในฝ่ายเดียวกันหรือของศตรู การถ่ายภาพศพเพื่อนำมาเผยแพร่นั้นคงจะขัดกับหลักศาสนาทุกศาสนาที่ให้ความสำคัญต่อความเป็นมนุษย์
เมื่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งหรืออุบัติเหตุเกิดขึ้น หน้าที่ของนักข่าวคือถ่ายถอดเหตุการณ์หรืออุบัตุหตุนั้นให้สังคมทราบ นักข่าวก็มักจะอาศัยภาพต่างๆ เพื่อถ่ายทอดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุดังกล่าว แต่คำถามก็คือ ทำไมนักข่าว โดยเฉพาะนักข่าวไทย ไม่ว่ามาจากสื่อกระแสหลักหรือสื่อทางเลือก นิยมอาศัยวิธีการที่ง่ายที่สุดโดยเก็บภาพของศพและเผยแพร่ภาพดังกล่าวโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ
ประเทศอื่นๆ หลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ มีกฎหมายที่ห้ามนำภาพศพเพื่อเผยแพร่ตามข่าว แต่ในประเทศไทย สื่อก็ยังอาศัยภาพศพที่ถูกนำมาเผยแพร่ในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับ แม้ว่ามีเซ็นเซอร์แค่นิดเดียว แต่เรายังเห็นได้ชัดว่า นี่คือภาพศพคำถามก็คือ นักข่าวไทยขาดความเป็นมืออาชีพขนาดนี้ จนถึงไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิต ถ้าไม่ภาพของผู้ที่เป็นเหยื่อหรือเปล่า โดยนำเผมแพร่ภาพเหล่านี้ นักข่าวก็ทำให้ผู้อ่านข่าวอยู่ในสภาพ “เสพภาพศพ” จนถึงผู้อ่านก็ไม่อยากอ่านข่าวเหตุรุนแรงถ้าไม่มีภาพศพ การนำภาพศพนองเลือดเพื่อเผยแพร่นั้นไม่ใช่งานของ “นักข่าว” ในความหมายอันแท้จริง แต่ฝีมือของไอ้พวกคนขายข่าวที่ไม่มีความเคารพต่อความเป็นมนุษย์และความรู้สึกจของครอบครัว
สุดท้ายนี้ ผมขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายงดเผยแพร่ภาพศพในสื่อ ไม่ว่าจะเป็นภาพศพของเหยื่อเหตุรุนแรงหรืออุบัติเหตุก็ตาม ตราบใดที่เรากระทำเช่นนี้ต่อ เราก็ไม่อาจจะสามารถสร้างสังคมที่มีความเคารพต่อมนุษย์ และคนในสังคมก็ไม่เห็นคุณค่าในชีวิตของผู้อื่นและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การแชร์ภาพศพ
เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคมที่ผ่านมา หนุมอายุ ๑๓ ปีถูกยิงที่บ้านที่อยู่ใน อ. ยะหา จ. ยะลาและเสียชีวิตคาที่ เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนในพื้นที่ เพราะเหยื่อเป็นพลเมือง และเหตุการณ์เกิดขึ้นในสถานที่พลเมือง (บ้านของเหยื่อ) และเหยือก็ยังเป็นเด็ก
สิ่งที่น่าศร้าก็เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์นี้ โดยมีสำนักข่าวบางสำนัก นักข่าวบางคน และผู้ใช้โซเซียลมีเดียจำนวนมาก เผยแพร่ภาพศพนองเลือดของผู้ที่เป็นเหยื่อ จริงๆ แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้คนจำนวนมากแชร์ภาพลักษณะเดียวกัน (ภาพศพนองเลือด) หลังจากมีเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิต รวมไปถึงอุบัติเหตุบนถนนที่มีผู้เสียชีวิตเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เราต้องคิดก่อนว่า เราควรกระทำเช่นนี้หรือไม่ เพราะผมเชื่อว่า การกระทำเช่นนี้มีแต่ผลกระทบโดยไม่เป็นประโยชน์อะไรต่อฝ่ายใด
ภาพศพนองเลือดที่ปรากฏในข่าวและโซเซียลมีเดียเป็นภาพของคนที่ผมไม่รู้จักอย่างเป็นส่วนตัวทั้งนั้น แต่ผมก็ยังรู้สึกสงสารต่อเหยื่อ และนึกไม่ออกว่า ครอบครัวของเหยื่อจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นผู้คนหลายๆ คนแช่ภาพศพของสมาชิกครอบครัว เพราะถ้าหากว่าผมเป็นเหยื่อในเหตุรุนแรงหรืออุบัติเหตุแบบนี้ ผมก็ไม่อยากจะให้สื่อเผยแพร่ภาพศพของผม ถ้าสมมุติว่า ครอบครัวหรือเพื่อสนิทเป็นเหยื่อ สิ่งที่ผมไม่ต้องการที่สุดก็คือสื่อจะนำภาพศพและเผยแพร่
หลังจากสูญเสียลูกชายทั้งสามคนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน อ. บาเจาะ จ. นราธิวาสเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ปีที่แล้วก็มีการเผยแพร่ภาพศพของเด็กเหล่านี้ แต่เมื่อมีคนถามถึงการกระทำนี้กับผู้ที่เป็นแม่ของเด็กที่เสียชีวิต คุณแม่ก็อธิบายว่า ถ้าจะใช้ภาพของลูกก็ขอใช้ภาพของพวกเขาเมื่อพวกเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะภาพศพนั้นกระทบความรู้สึกของตน
ด้วยเหตุนี้ เราก็ไม่ควรจะเผยแพร่ภาพศพ เพราะการเผยแพร่ภาพศพเป็นการกระทำที่ขาดความเคารพต่อความเป็นมนุษย์และความรู้สึกของครอบครัว ถ้าเราต้องการจะถ่ายทอดความรุนแรงและความโหดเหี้ยมก็ควรใช้วิธีการอื่น โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่า เราสามารถถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้โดยใช้ภาษา และไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่เราต้องใช้ภาพศพ
งานศพเป็นหนึ่งในพิธีที่สำคัญในทุกศาสนา เพราะศาสนาทุกศาสนาก็สอนให้เรามีความเคารพต่อผู้เสียชีวิต เช่นในศาสนาอิสลาม เราควรฝั่งศพภายในเวลาอันไม่ช้า เพื่อไม่ให้ศพนั้นจะส่งกลิ่นเหม็น และในงานศพเราก็ไม่ควรกล่าวถึงข้อเสีย จุดอ่อนหรือปัญหาของผู้เสียชีวิตด้วย แม้แต่ในสงคราม ศาสนาอิสลามก็สอนให้ศาสนิกชนต้องเคารพศพ ไม่ว่าจะเป็นศพของคนที่อยู่ในฝ่ายเดียวกันหรือของศตรู การถ่ายภาพศพเพื่อนำมาเผยแพร่นั้นคงจะขัดกับหลักศาสนาทุกศาสนาที่ให้ความสำคัญต่อความเป็นมนุษย์
เมื่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งหรืออุบัติเหตุเกิดขึ้น หน้าที่ของนักข่าวคือถ่ายถอดเหตุการณ์หรืออุบัตุหตุนั้นให้สังคมทราบ นักข่าวก็มักจะอาศัยภาพต่างๆ เพื่อถ่ายทอดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุดังกล่าว แต่คำถามก็คือ ทำไมนักข่าว โดยเฉพาะนักข่าวไทย ไม่ว่ามาจากสื่อกระแสหลักหรือสื่อทางเลือก นิยมอาศัยวิธีการที่ง่ายที่สุดโดยเก็บภาพของศพและเผยแพร่ภาพดังกล่าวโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ
ประเทศอื่นๆ หลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ มีกฎหมายที่ห้ามนำภาพศพเพื่อเผยแพร่ตามข่าว แต่ในประเทศไทย สื่อก็ยังอาศัยภาพศพที่ถูกนำมาเผยแพร่ในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับ แม้ว่ามีเซ็นเซอร์แค่นิดเดียว แต่เรายังเห็นได้ชัดว่า นี่คือภาพศพคำถามก็คือ นักข่าวไทยขาดความเป็นมืออาชีพขนาดนี้ จนถึงไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิต ถ้าไม่ภาพของผู้ที่เป็นเหยื่อหรือเปล่า โดยนำเผมแพร่ภาพเหล่านี้ นักข่าวก็ทำให้ผู้อ่านข่าวอยู่ในสภาพ “เสพภาพศพ” จนถึงผู้อ่านก็ไม่อยากอ่านข่าวเหตุรุนแรงถ้าไม่มีภาพศพ การนำภาพศพนองเลือดเพื่อเผยแพร่นั้นไม่ใช่งานของ “นักข่าว” ในความหมายอันแท้จริง แต่ฝีมือของไอ้พวกคนขายข่าวที่ไม่มีความเคารพต่อความเป็นมนุษย์และความรู้สึกจของครอบครัว
สุดท้ายนี้ ผมขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายงดเผยแพร่ภาพศพในสื่อ ไม่ว่าจะเป็นภาพศพของเหยื่อเหตุรุนแรงหรืออุบัติเหตุก็ตาม ตราบใดที่เรากระทำเช่นนี้ต่อ เราก็ไม่อาจจะสามารถสร้างสังคมที่มีความเคารพต่อมนุษย์ และคนในสังคมก็ไม่เห็นคุณค่าในชีวิตของผู้อื่นและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
– See more at: http://blogazine.pub/blogs/shintaro/post/5476#sthash.DwF2347d.dpuf
ขอบคุณที่มา : บล๊อคของshintaro@blogazine
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมชที่ ตอนอายุได้ 74 ปี เขียน “ชรากถา” น่าคิด
—————
กฏของการใช้ชีวิตในวัยทองอย่างมีความสุข
1.อาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองอย่างเป็นส่วนตัวและเป็นอิสระ
2.ถือครองเงินฝากธนาคารและทรัพย์ไว้กับตัวเอง
3.อย่าไปคาดหวังว่าลูกเต้าจะดูแลตอนแก่
4.หาเพื่อนเพิ่มคบทุกวัย
5.อย่าเปรียบตัวเองกับคนอื่น
6.อย่าไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตลูก
7.อย่าเอาความชรามาเป็นข้ออ้าง เพื่อเรียกร้องความเคารพนับถือและความสนใจ
8.ให้ฟังเสียงผู้อื่นแต่ให้วิเคราะห์และปฏิบัติตามที่คิดอย่างอิสระ
9.ให้สวดมนต์แต่อย่าร้องขอจากพระ
10.ข้อสุดท้าย “อย่าเพิ่งตาย”
“Secret of old age” ๓๐ ข้อ สำหรับผู้เข้าสู่วัยชรา
๑)อย่ากลัวความแก่
๒)อย่าเสียใจที่แก่
๓)รีบหาความสุขเมื่อยังมีความสามารถ
๔)อย่ารอหาความสุขก่อนจะเสียดายภายหลัง
๕)รีบไปเที่ยวตามสถานที่ๆ อยากไป
๖)หาเวลาเจอเพื่อนเก่า
๗)สังสรรค์กับเขาเพราะเวลาเหลือน้อย
๘)เงินที่เก็บไว้ในธนาคาร ตายแล้วเอาไปไม่ได้
๙)ใช้เงินหาความสุขเมื่อยังมีชีวิต
๑๐)อยากกินอะไรที่ชอบก็กิน
๑๑)หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
๑๒)กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
๑๓)การเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา
๑๔)อย่าวิตกกลัวกับความเจ็บป่วย
๑๕)ทุกคนต้องผ่านการเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา
๑๖)ถ้าวิตกเรื่องแก่เจ็บตายแล้วมีความสุขก็ให้วิตกไปเถิด
๑๗)รีบจัดการปัญหาเสียก่อนตาย
๑๘)ปล่อยให้หมอดูแลสุขภาพ พระเจ้าดูแลชีวิต และตนเองดูแลอารมณ์
๑๙)อย่ากังวลกับลูกหลาน พวกเขาช่วยตัวเองได้
๒๐)สนใจดูแลสุขภาพของตัวเองให้มากขึ้น
๒๑)สนใจดูแลคู่ชีวิตที่ชราด้วยกันให้มากขึ้น
๒๒)เก็บเงินเกษียณไว้กับตัวเอง
๒๓)พบเพื่อนเก่าให้บ่อยมากขึ้น เพราะเวลาเหลือน้อยลง
๒๔)ยิ้มให้ตนเองและคนอื่นทุกวัน
๒๕)ทำชีวิตให้มีความสุข
๒๖)ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องให้ดังๆ ไปเลย
๒๗)ความหวังสิ้นสุด ถ้าหยุดความเชื่อ
๒๘)ความรักจะสิ้นสุด ถ้าหยุดใส่ใจ
๒๙)ชีวิตจะสิ้นสุข ถ้าหยุดยิ้ม
๓๐)มิตรภาพจะสิ้นสุด ถ้าหยุดแบ่งปัน…
ขอให้โชคดี มีอายุยั่งยืน
ขอขอบคุณข้อคิดดีๆ จากคุณจาง..
ไปเจอบทความดีๆน่าสนใจ จึงเอามาฝากเพื่อนๆคอชาผูเอ่อร์ครับ