Tag Archives: ข่าว

โศกนาฏกรรมหมอกพิษมรณะแห่ง Bhopal

คืนวันที่ 2 ธ.ค 1984 เป็นคืนที่สดใสท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว และเป็นคืนแห่งเทศกาลและความรื่นเริงเพราะผู้คนจำนวนมากไปชุมนุมกันตามจุดต่างๆในเมือง Bhopal เมืองหลวงแห่งรัฐมัธยประเทศ ประเทศอินเดีย เพราะเป็นคืน “มุไชรา” เพื่อฟังเพลงและกาพย์กลอน กวีจะร่ายกลอนในภาษาอูรดูที่พรรณนาถึงความทุกข์และความสุข แห่งชีวิต ความตายและวิญญาณที่เป็นอมตะ

เมื่องานสิ้นสุดชาวเมืองต่างกลับบ้านนอน จึงไม่มีใครรู้เลยว่าความตายค่อยๆใกล้เข้ามา เพราะช่วงหลังเที่ยงคืน หมอกมรณะสีขาวมัวค่อยๆแพร่กระจายออกจากโรงงาน Union Carbide India Limited ( UCIL ) ลอยไปในอากาศแล้วแผ่เข้าสู่บ้านเรือน หมอกนั้นคือ Methylisocyanate ( MIC ) ซึ่งใช้ผลิตยาฆ่าแมลงในรูปของแก๊ซที่รั่วจากถังเก็บขนาด43 ตันในโรงงานโดยไม่มีสัญญาณเตือนภัยใดๆที่แจ้งให้รู้ ปีนั้นประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองมีประมาณ 900,000 คน และจำนวนมากที่อาศัยอยู่ตามสลัม แก๊ซ MICนั้นหนักกว่าอากาศ ดังนั้นจึงลอยในระดับไม่สูงเหนือพื้นดิน และทิศทางลมก็พามันเข้าไปสู่ตัวเมือง

ที่สถานีรถไฟในช่วงเวลาที่แก๊ซเริ่มรั่ว ผู้คนจำนวนหนึ่งยังคงทำหน้าที่ของตนตามปกติ เมื่อหมอกมรณะเริ่มเคลื่อนเข้าสู่บริเวณสถานีนั้นยังไม่มีใครเฉลี่ยวใจ จนกระทั่งพวกเขาเริ่มไอ ตามมาด้วยอาเจียนอย่างรุนแรง หายใจลำบาก และตาเบิ่งกว้างและบอดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หายใจไม่ออกและตายในที่สุด บางคนที่ยังไม่สูดแก๊ซพิษเข้าไปและรู้ถึงความผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นก็พยายามติดต่อกับสถานีก่อนหน้าที่จะวิ่งเข้าไปยังสถานี Bhopal รถหลายขบวนหยุดได้ทันก่อนถึงสถานี ยกเว้นขบวนหนึ่งที่แล่นเข้าไปจอดโดยไม่ทราบ เมื่อท้องฟ้าสว่าง ผู้โดยสารบนรถไฟกลายเป็นศพทั้งหมด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ในสถานีอีก 23 ศพ Continue reading

ร้านข้าวแกง ม.ขอนแก่น นำกล่องข้าวมาเอง เหลือจานละ 10 บาท

เมื่อวันที่ 8 มิ.. ที่อาคารจอดรถของคณะวิทยาลัยการจัดการ .ขอนแก่น ศูนย์อาหารและบริการ 4 มข. บริเวณอาคารจอดรถหน้าสำนักทะเบียนอาคารพิมลกลกิจ ได้มีร้านอาหารล็อกที่ 2 ขายอาหารจานละ 10 บาท กับข้าวอย่างเดียว กับข้าว 2 อย่างจานละ 15 บาท กับข้าว 3 อย่าง จานละ 20 บาท โดยลูกค้าต้องนำกล่องข้าวหรือปิ่นโตมาใส่อาหารเองได้

KoggPPDX

นส.เสาวคนธ์ เนียมแก้ว อายุ 39 ปี แม่ค้าขายกับข้าวมีบ้านพักอยู่ใน .ขอนแก่นพร้อมกับลูกจ้างอีก 1 คน ได้อยู่หน้าร้านตักกับข้าวใส่ถ้วยชามที่ลูกค้ามาขอซื้ออาหารในร้านลูกค้าทุกคนได้มีกล่องข้าวมาขอซื้ออาหารกับข้าว 2 อย่าง 15 บาท เป็นส่วนมากมีน้อยคนที่ขอซื้อกับข้าว 3 อย่าง 20 บาท โดยวันนี้อาหารที่ขายให้กับลูกค้ามี 1.ผัดเผ็ดหมู  2.ถั่วลันเตาหมู 3.ไข่ตุ๋นทรงเครื่อง 4.ยำวุ้นเส้นหมู 5.ผัดพริกหยวกไก่ 6.ผัดดอกกระเจียวหมูพร้อมกับมีพริกน้ำปลา ตั้งอยู่ใกล้กับสำรับอาหารและมีน้ำดื่มอยู่ในตู้เย็นตั้งอยู่ในอาคารให้ลูกค้าไปดื่มกินได้ตลอดเวลา Continue reading

พลิกปูมชีวิต”เจนนิเฟอร์ แพน”ลูกครึ่งแคนาดา-เวียดนาม ทำไมเธอแค้นจนต้องจ้างมือปืนฆ่าพ่อแม่?

วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 13:45 น.

แม้จะเป็นคดีความที่จบสิ้นไปตั้งแต่เมื่อเดือนมกราคมแล้ว แต่วันนี้ เรื่องราวดังกล่าวถูกรื้อฟื้นขึ้นมาเล่าใหม่อีกครั้ง เนื่องด้วยมีประเด็นปัญหาหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเครียด ปัญหาครอบครัว ฯลฯ

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ “เจนนิเฟอร์ แพน” เด็กสาวชาวแคนาดาเชื้อสายเวียดนาม ที่ว่าจ้างมือปืนให้ไปยิงพ่อแม่ตัวเอง เนื่องจากทนแรงกดดันที่ถูกพ่อแม่บังคับให้เรียนอย่างหนักอยู่เสมอไม่ไหวอีกต่อไป

เริ่มแรกสมัยประถม เจนนิเฟอร์เคยเป็นเด็กนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่น อยู่ในระดับ”เอ”สมใจพ่อแม่ แต่เมื่อถูกบีบบังคับไปนานๆ ก็ทำเกิดความเครียดสูงมาก จนเมื่อขึ้นมาเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนแมรีวาร์ดคาทอลิก ผลการเรียนจึงตกต่ำลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเรียนไม่จบชั้นมัธยมปลาย

1438067602_a-daughters-revenge Continue reading

โกลบอลโพสต์เผย 6 เรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนในนามของฟุตบอล

ประชาไทออนไลน์
Fri, 2015-06-05 00:02

แม้ว่าฟุตบอลจะเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยม สร้างความบันเทิงให้ผู้คน แต่เบื้องหลังก็มีเหล่าผู้จัดที่เอาแต่กอบโกยโดยไม่สนใจใยดีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ทั้งแรงงานเด็กเย็บฟุตบอล คนงานสร้างสนามกีฬา คนที่ถูกไล่ที่เพื่อสร้างภาพในการจัดฟุตบอลโลก ผู้ประท้วง และแม้กระทั่งกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศต่างก็ถูกละเมิดสิทธิ


ภาพจาก guts.com
4 มิ.ย. 2558 ในขณะที่สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ หรือ ‘ฟีฟ่า’ กำลังมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตจนกระทั่งประธานฟีฟ่า เซปป์ แบล็ตเตอร์ ประกาศลาออกเมื่อไม่นานมานี้ แต่อีกประเด็นหนึ่งที่น่าติดตามเกี่ยวกับการจัดแข่งขันฟุตบอลซึ่งฟีฟ่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยคือประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในนามของการแสวงหากำไรจากอุตสาหกรรมลูกหนังโดยไม่สนใจใยดีชีวิตของผู้คน

สำนักข่าวโกลบอลโพสต์นำเสนอการรวบรวมและจัดอันดับเรื่องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอุตสาหกรรมลูกหนัง 6 เรื่อง รวมถึงประเด็นอื้อฉาวล่าสุดเกี่ยวกับการกดขี่แรงงานข้ามชาติในกาตาร์

การละเมิดสิทธิมนุษยชนเรื่องที่ 1 คือ เรื่องการใช้แรงงานเด็กในการเย็บลูกฟุตบอล เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ลูกฟุตบอลส่วนใหญ่มาจากการเย็บด้วยมือและมาจากประเทศปากีสถาน จากการสืบสวนพบว่ามีการใช้เด็กอายุ 5-14 ปีทำงานเย็บลูกหนังแบบเต็มเวลา และบางคนทำงานมากถึง 11 ชั่วโมงต่อวัน แต่ได้ค่าแรงเพียง 50 เซนต์ในหน่วยเงินสหรัฐฯ ต่อลูกบอล 1 ลูกที่ใช้เวลาทำถึงครึ่งวัน

หลังจากองค์กรด้านแรงงานและสิทธิเด็กเริ่มขยับทำให้ฟีฟ่ายอมรับให้มีกฎสั่งห้ามใช้แรงงานเด็กตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมา แต่ก็ยังมีการละเมิดสิทธิแรงงานอยู่ในเอเชียเช่นค่าแรงต่ำ ชั่วโมงทำงานสูง สภาพการทำงานไม่ปลอดภัย และมีการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง และเรื่องเหล่านี้ก็เป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมลูกฟุตบอลเท่านั้น ยังไม่ได้กล่าวถึงสินค้าชนิดอื่น

เรื่องที่ 2 คือ การที่ฟีฟ่ามีศาลเป็นของตัวเอง โกลบอลโพสต์ระบุว่าฟีฟ่าเป็นกลุ่มที่คนไม่ค่อยให้ความเชื่อมั่นเรื่องวิธีการตัดสินคดี ในปี 2553 ที่ฟุตบอลโลกแอฟริกาใต้ ฟีฟ่าจัดตั้ง “ศาลฟุตบอลโลก” ขึ้นเพื่อจัดการกับคดีที่ก่อขึ้นในการแข่งขัน มีบางคนบอกว่ามีการลงโทษที่หนักเกินไปเช่นการสั่งจำคุก 5 ปีต่อกรณีลักขโมยโทรศัพท์มือถือ อีกทั้งฟีฟ่ายังตัดสินคดีเร็วจนน่าเป็นห่วง เช่นกรณีที่ผู้สื่อข่าวถูกชาวซิมบับเวปล้นพวกเขาใช้เวลาตัดสินคดีเพียงวันเดียว

ทั้งนี้ดุลพินิจของฟีฟ่ายังมีปัญหาในการกล่าวหาว่าใครเป็น “อาชญากร” เคยมีผู้หญิงชาวเนเธอร์แลนด์ 2 คนถูกจับกุมเพียงเพราะสวมชุดสีส้มเข้าไปดูฟุตบอล พวกเธอถูกกล่าวหาว่า “โฆษณาแอบแฝง” ให้กับเบียร์ยี่ห้อหนึ่งซึ่งไม่ได้จ่ายเงินค่าสปอนเซอร์ให้ฟีฟ่า พวกเขาอ้างกฎหมาย “มาตรการพิเศษของฟีฟ่าในฟุตบอลโลก 2553” ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่เขียนขึ้นมาเองเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายแอฟริกาใต้ตามใจชอบในช่วงที่มีการแข่งขันและบางส่วนขัดกับหลักรัฐธรรมนูญ

เรื่องที่ 3 คือ การรื้อไล่ที่คนจน ในฟุตบอลโลกปี 2553 ที่แอฟริกาใต้กลุ่มผู้จัดถูกกล่าวหาว่าทำการบังคับไล่ที่ชาวสลัมและคนไร้บ้านเพื่อสร้างสิ่งดึงดูดเอาใจนักท่องเที่ยวหรือเพื่อสร้างภาพให้ดูไม่มีคนจน มีคนในเมืองเคปทาวน์หลายพันคนถูกต้อนไปอยู่ในค่ายกักกัน นอกจากนี้คนหาบเร่หรือขายอาหารริมทางที่ไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมราคาแพงก็จะถูกขับไล่ออกจาก “เขตยกเว้น” ที่ฟีฟ่าสั่งจัดตั้งไว้เป็นพิเศษ มีบางกรณีบอกว่าพวกเขาถูกตำรวจจับกุมและใช้กำลังปราบปรามจนข้าวของเสียหายทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาด้วย

ในกรณีฟุตบอลโลกบราซิล 2557 มีผู้ถูกไล่ที่หรือถูกข่มขู่ไล่ที่ 250,000 รายทั่วประเทศ รวมถึงแหล่งสลัมในบางเมืองซึ่งทางการอ้างว่าจะจัดหาที่อยู่ใหม่ที่มีสภาพดีเทียบเท่าที่อยู่เดิมเป็นอย่างน้อยให้ แต่จากรายงานของสหประชาชาติระบุว่าส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในที่ๆ มีสภาพแย่กว่าเดิม

เรื่องที่ 4 คือการที่ตำรวจใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงต่อต้านฟุตบอลโลก โกลบอลโพสต์ระบุถึงการประท้วงฟุตบอลโลกโดยชาวบราซิลในช่วงปี 2556-2557 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประท้วงมากกว่า 1 ล้านคนจากทั่วโลก แต่เจ้าหน้าที่ก็ทำการปราบปรามผู้ชุมนุมในแบบที่องค์กรแอมเนสตี้อินเตอร์เนชันแนลระบุว่าเป็นการปราบปรามที่ “ใช้กำลังรุนแรง” ทั้งการใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง ทุบตีผู้คนด้วยกระบอง มีคนถูกจับและได้รับบาดเจ็บหลายร้อยคนโดยที่ไม่มีหลักฐานว่าผู้ประท้วงก่อเหตุอย่างอื่นนอกจากการประท้วงอย่างสงบตามสิทธิที่พวกเขามีเลย

เรื่องที่ 5 การละเลยสิทธิคนรักเพศเดียวกัน ถึงแม้ว่าฟีฟ่าจะสามารถใช้อำนาจเปลี่ยนแปลงกฎหมายประเทศอื่นตามใจชอบตามที่พวกเขาตกลงกันไว้กับสปอนเซอร์ของพวกเขา แต่พวกเขากลับไม่สนใจเปลี่ยนกฎเกณฑ์ที่ต่อต้านความหลากหลายทางเพศ ในฟุตบอลโลกที่กาตาร์ซึ่งจะมีขึ้นในปี 2565 พวกเขาถึงขั้นแนะนำให้กลุ่มคนรักเพศเดียวกันงดมีเพศสัมพันธ์กันเนื่องจากกาตาร์เป็นประเทศไม่อนุญาตเรื่องความหลากหลายทางเพศ รวมถึงประเทศที่ไม่ต้อนรับคนรักเพศเดียวกันอย่างรัสเซียซึ่งเป็นเจ้าภาพปี 2561 ซึ่งทางอัยการของสวิตเซอร์แลนด์กำลังสืบสวนกระบวนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกปี 2561 และปี 2565 ที่ไม่ชอบมาพากล

เรื่องที่ 6 จำนวนคนงานก่อสร้างที่เสียชีวิตจากการสร้างสนามกีฬา เมื่อไม่นานมานี้วอชิงตันโพสต์ได้เผยแพร่อินโฟกราฟิกเกี่ยวกับจำนวนคนงานที่เสียชีวิตจากการสร้างสนามกีฬาเพื่อเตรียมรับมหกรรมโอลิมปิกและฟุตบอลโลก พบว่ามีจำนวนคนงานผู้เสียชีวิตในกาตาร์จำนวนมาก แรงงานส่วนใหญ่ที่สร้างสนามกีฬาและโครงสร้างพื้นฐานในกาตาร์เป็นแรงงานข้ามชาติจากเนปาล อินเดีย ศรีลังกา และที่อื่นๆ พวกเขาอยู่ในสภาพการจ้างงานที่ใกล้เคียงกับแรงงานทาส พวกเขาถูกระงับค่าจ้าง ถูกยึดหนังสือเดินทาง ทำงานภายใต้อากาศร้อน 120 องศาฟาห์เรนไฮต์ (ราว 48-49 องศาเซลเซียส)

สมาพันธ์แรงงานโลกเตือนว่าแรงงานข้ามชาติในกาตาร์มีโอกาสเสียชีวิตรวม 4,000 คน ก่อนฟุตบอลโลกปี 2565 ถ้าหากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ สภาพของประเทศกาตาร์ที่ไม่อนุญาตให้มีพรรคการเมืองและการจัดตั้งสหภาพแรงงานคงหวังการเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่ฟีฟ่าเองก็ยังมีท่าทีรู้เห็นเป็นใจกับการลิดรอนสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ดังที่เลขาธิการของฟีฟ่าชื่อเจอโฮม วัลเค เคยประกาศว่า “บางครั้งการมีประชาธิปไตยน้อยก็ดีกว่าในการจัดฟุตบอลโลก” ซึ่งคนงานที่ถูกกดขี่จำนวนมากคงไม่เห็นด้วยแน่ๆ

ที่มา : http://prachatai.org/journal/2015/06/59626