August 16, 2014 at 8:08pm
ขอเล่าเป็นเคส เผื่อใครมีใครที่รักห่วงใยจะได้สังเกตสัญญาณอาการและแก้ไขกันแต่เนิ่นๆ สำหรับคนที่มีญาติที่ป่วยมีเบาหวานและน้ำหนักมากเรื้อรัง พ่อเป็นหวัดก่อนแม่ประมาณ 3-4 วัน เป็นไข้ ไอ ก็นอนกับกินยา แม่กับพ่อนอนห้องเดียวกัน พอประมาณวันที่สามสี่ แม่ก็ทำท่าจะติดพ่อ เท่าที่เห็นนอกเหนือจากเวลากลางคืนที่เค้านอนกันแล้วไม่ได้ไปยุ่งในห้องด้วย มากก็คือ แม่เริ่มไอเล็กๆ น้อยๆ ก็เริ่มสังเกตุอาการแล้ว บอกแม่ว่าจะไปซื้อยาแก้อักเสบให้กินฆ่ากเชื้อไว้ก่อนเพราะถ้าติดกันแล้วป่วย ซมจะไม่ดี
ปกติแม่เป็นคนค่อนข้างแข็งแรงกับเรื่องหวัด ไม่เคยล้มหมอนหนักๆ กับเรื่องหวัดมาก่อนเลยเย็นวันก่อนที่จะเข้า รพ. แม่เริ่มไอแค๊กๆ เล็กๆ ให้เห็น แต่อยังอุตส่าห์ห่วงพ่อกับที่บ้าน นั่ง มอไซค์ ออกไปเองไปซื้อยากับก๋วยเตี๋ยวมาไว้ให้ที่บ้าน เห็นแม่ไอๆ แล้ว เลยออกไปซื้อยาแก้อักเสบมาชุดนึงับยาละลายเสมหะตามที่แม่สั่งจะเอา ยังคุยกันได้ปกติอยู่ ยังนัั่งดูแม่ปอกมะม่วงที่แกไปซื้อมาอยู่เลย เราก็ยังปอกแก้วมังกรให้แม่กินอยู่เลยหลังจากช่วงเย็นแยกย้ายกันไปทำธุระ ส่วนตัวของตัวเอง
ตอนสองสามทุ่มยังเอายาแก้อักเสบเม็ดแรกยังเข้าไปให้แม่กินกับยาละลายเสมหะคุย กันปกติดีอยู่เลย นั่งดูทีวีกับแม่แป๊บนึงประมาณสี่ทุ่มหลังแยกย้ายกันไปอีกรอบลงมาข้างล่าง ยังเจอแม่ชงกาแฟใส่น้ำแข็งกิน ยังดุแม่อยู่เลยว่าไม่น่ากินเดี๋ยวไอเที่ยงคืนแฟนพี่ชายมาเล่าตอนหลังว่ายัง กลับมาเจอแม่ยังนั่งกินน้ำแข็งอยู่ ยังแซวแม่เลยว่าไม่น่ากิน ตอนนั้นก็ยังปกติดีอยู่เลยทุกคนแยกย้ายกันนอน
จน ตอนเช้าประมาณ 6 โมง ยังได้ยินเสียงแม่เข้าห้องน้ำชั้นบนบ้านอยู่ พอ 7 โมงจะไปเรียกแม่กินข้าวกินยา แม่เริ่มน๊อคจากการหายใจไม่ออกแล้ว คือนั่งค้างตัวแข็งทำอะไรไม่ได้แล้ว รีบวิ่งไปเอา ventolin ในห้องตัวเองมาให้แม่พ่น แม่ก็พ่นไม่ได้แล้วคือทำได้แค่อ้าปากค้างแล้วสูดยาเข้าไปไม่ได้เลยรู้ว่า อาการแย่แล้วเริ่มพยายามจะพาแม่ไป รพ.ใช้เวลาในการพยายามเคลื่อนย้ายแม่ไป รพ. ติดอุปสรรคเรื่องคนและอื่นๆ ในบ้านนิดหน่อย บวกกับแม่น้ำหนักมากด้วย
ไปถึงรพ. ประมาณ 8 โมง – 8 โมงครึ่งเอาตัวเข้าห้องฉุกเฉินทันที หมอเข้ามาดูให้พ่น ventolin เบื้องต้นไป 2 ครั้ง ใจเรายังหวังว่าจะพอโอเคน่าจะจบที่ พ่นยา หรืออย่างมากก็นอน รพ. 2-3 วันหรือ ซัก 1 สัปดาห์พ่นยาไปสองโดส อาการไม่ดีขึ้นหมอเริ่มมาเอ็กซเรย์เจาะเลือดตรวจมาดูท้องดูอาการหายใจบอกว่า คนไข้หายใจด้วยตัวเองลำบากแล้ว หมอเริ่มหน้าไม่ค่อยดี บอกว่าคนไข้ติดเชื้อ เริ่มถามเถึงเรื่องการอนุญาติใส่เครื่องช่วยหายใจ ก็ดูอาการกันอยู่ซักพัก ทำเรื่องที่จะไปขอประวัติต่าๆ จากที่ศิริราช ก่อนหน้านี้พ่อก็มาเป็นลมไปอีกคนเลยวิ่งไปวิ่งมาดูทีละสองคนกลับมาอีกทีเค้า ล้อมม่านจับแม่ใส่เครื่องพยุงชีพเต็มสูตรไปแล้ว หมอบอกว่าให้ยานอนหลับแม่ แต่หลังจากให้ยาซักพักลองพยายามคุยกับแม่ถามเค้าคุยกับเค้าแม่ยังพยักหน้า รับรู้แสดงงอาการที่รู้กันว่ายังรับรู้ได้อยู่ แต่ลืมตาไม่ได้แล้ว
ประมาณสิบโมงถึงสิบโมงกว่า ได้แอดมิตขึ้นหวอดห้องธรรมดาบนตึกโดยอยู่ในเครื่องพยุงชีพสติแม่ครึ่งหลับ ครึ่งตื่นแล้วแต่เวลาถามก็ยังพอพยักหน้ารับรู้ได้อยู่นิดหน่อย ไข้สูงมาก ไข้สูงตั้งแต่มาถึง รพ. แล้วพอขึ้นหวอดได้ก็เลยได้เช็ดตัวแม่ ต้องคอยเช็ดตัวให้ตลอดเวลาวันนั้นคอยเช็ดให้เท่าที่ทำได้จนจากกันตอนส่งเข้า ไอซียูก่อนกลับขึ้นไปอยู่บนห้องธรรมดาได้ซักพัก หมอให้รอหมอประจำหวอดมาประเมิณอาการ รออยู่ประมาณเกือบชั่วโมงได้ ก็มีหมอประจำบ้านมาคุย หมอก็ไม่ได้คุยแบบให้ความหวังอะไรเลยตั้งแต่แรก หมอบอกว่า แม่ปอดอักเสบและน้ำท่วมปอด แต่ฟังว่าแย่แล้วในตอนนี้นั้นยังถือว่าดีมากเลย คือยังมีหวังหาย แต่หมอบอกว่าแม่น้ำหนักมากน้ำหนักช่วงท้องไกดปอดทำให้ปอดแฟบโอกาสที่จะกลับ มาหายใจเองได้จะลดลงในเบื้องต้นจากการตีอาการ ณ เวลานั้นหมอบอกว่าแม่คงต้องอยู่ในเครื่องช่วยหายใจประมาณ 1 สัปดาห์ และคอยดูผลของยาฆ่าเชื้อต่ออาการติดเชื้อที่ปอด ระหว่างนั้นที่มีความเสี่ยงก็คืออาจมีความเสี่ยงติดเชื้อที่ปอดหรือหลอดลม จากการใส่ท่อช่วยหายใจนานด้วย ส่วนน้ำท่วมปอดหมอให้ยาขับปัสสาวะแล้ว
ระว่างนี้เริ่มมีการคุยและปรึกษาถึงแนวทางการรักษาที่จะต้องเปิดเส้นเลือดใหญ่ ที่แขนคนไข้ เพื่อสอดสายอะไรซักอย่างเพื่อทำการประเมิณปริมาณน้ำ ความดัน และอาการบางอย่างของคนไข้ เราก็ถามหมอว่าทำแล้วมันเพิ่มเปอร์เซ็นหายหรือเปล่า หมอบอกว่าไม่เชิง มันเพียงแต่ช่วยให้ประเมิณอาการได้แม่นยำขึ้นแต่ความเสี่ยงก็มีตามมาสูงอีก เช่นกัน
เริ่มมีการถามถึงเรื่องถ้าหัวใจคนป่วยหยุดเต้นจะอนุญาติให้ปั๊มหรือไม่แล้วเริ่ม ปรึกษากับพ่อซึ่งฟท้นจากเป็นลมมาแล้วว่าควรจะแจ้งญาติๆ แล้วดีไหมเพราะแม่ป่วยไม่สบายมากอยู่ ระหว่างที่เดินไปเดินมาโทรแจ้งญาติๆ สนิทๆ และโทรประสานกับพี่ชายที่ไปเอาประวัติแม่ที่ศิริรชอยู่เดินกลับมาก็เห็นหมอ มารุมแม่ที่เตียงแล้ว เดินไปเห็นเครื่องวัดความดันพอดี ค่าตัวบนตกไปที่ 80 แล้ว หมอไล่ให้เราไปยืนรอข้างนอก ซักพักหมอคนนึงก็มาคุยแบบตรงๆ เลยว่า คนไข้อาการแย่แล้วนะ ความดันตก และคนไข้ช๊อคไม่รู้สึกตัวแล้ว ตอนแรกหมอบอกว่า จริงๆ คณะแพทย์ปรึกษาว่าควรเอาคนไข้เข้าไอซียูได้แล้ว แต่ตอนนั้นห้องยังไม่ว่าง น่าจะเป็นเวลาประมาณช่วงบ่ายสามโมงไปแล้ว เพราะตอนนั้นตื้อไปหมดจนไม่ได้ดูเวลาหรืออะไรแล้ว
เริ่มมีการถามย้ำถึงเรื่องหากคนไข้เสียชีวิตและการอนุญาติในวิธีรักษาและประเมิณอาการบางประการที่มีความเสี่ยงและรุนแรงกับคนไข้ว่าญาติอนุญาติให้ทำหรือเปล่า สุดท้ายลงเอยที่เราเป็นคนไปเซ็นต์กับมือหลังจากคุยกับพ่อแล้ว ว่าไม่ขอรับการรักษาพิเศษใดๆ ให้กระทบกระเทือนกับร่างกายของคนป่วย เซ็นไปว่าไม่ขอผ่าเปิดเส้นเลือด และไม่ต้องปั๊มหัวใจ
หลังจากช่วงนี้อาการของแม่ก็ดำเนินทรงอยู่ได้ด้วยยากระตุ้นหัวใจและความดัน ไข้ยังสูงมากอยู่ตลอด แม่ยังมีดิ้นกระสับกระส่ายและหน้าเบี้ยวๆ แต่ไม่รู้สึกตัวแล้ว ต้องคอยเช็ดตัวให้ตลอดเวลาจนถึงฃ่วงเย็นป้าพี่สาวแม่ก็มาดู ประมาณค่ำๆ พยาบาลมาบอกว่ามีคนเค้าแลกเตียงห้องไอซียูได้ แม่เลยได้เข้าไอซียูค่ำวันนั้น ประมาณทุ่มกว่าๆ อาการยังทรงดำเนินไปได้ด้วยยากระตุ้นหัวใจเหมือนเดิม ไม่มีสติรับรู้อะไรแล้ว มีแต่อาการกระสับกระส่ายซึ่งเข้าใจว่าเป็นรีเฟล็กซ์ของร่างกายจากพิษไข้ แต่ถามตอบอะไรแม่ไม่รับรู้ตอบสนองแล้ว
เข้าไอซียูหมอเข้าไปเซ็ตคนไข้เข้าเครื่องพยุงชีพเรียบร้อยถึงอนุญาติให้เราเข้าไปดู ก็ได้เช็ดตัวแม่ครั้งสุดท้าย พร้อมกับพ่อ พี่ แล้วก็ป้า อยู่ในไอซียูประมาณยี่สิบนาทีจัดการข้าวของเอายามาจากบ้านและต่างๆ ยังหวังว่าแม่จะมีปาฎิหารย์อยุ่ริบหรี่ แต่ในใจลึกๆ ก็เริ่มทำใจแล้ว
กลับ บ้านกันประมาณสองทุ่มเกือบสามทุ่ม นอนลุ้นทั้งคืน ตอนผ่านตี2 ตี 5 ไปได้ใจเริ่มชื้นนิดหน่อยแล้วพยามรีบหลับคิดว่าสายๆ 10 โมงจะรีบออกบ้านไปดูแม่กัน
แต่ปาฏิหารย์ไม่มีจริง ประมาณ 6 โมงเศษๆ สายเข้าโทรศัพท์พ่อห้องไอซียูแจ้งว่าคนไข้อาการแย่แล้วให้รีบไปพ่อมาปลุกเรา ที่ห้องบอกว่า รพ. ให้รีบไป ตื่นขึ้นมาเห็นพ่อไปทำธุระส่วนตัวอยู่ มีสายเข้าโทรฯพ่ออีกสายนึง เลยรับ เป็นเจ้าหน้าที่ห้องไอซียู พยามอรัมภบทเรื่องลำดับอาการของคนไข้ เลยกัดฟันถามไปว่า คนไข้หัวใจหยุดเต้นแล้วใช่มั๊ย ระหว่างคุยก็ยังได้ยินเสียงพวกเครื่องต่างๆ ข้างเตียงแม่ดังปี๊ดๆ ป๊าดๆ เต็มไปหมดเป็นเสียงที่ติดหูมากๆ ปรากฎว่าหัวใจแม่หยุดเต้นไปตอนที่ถือหูอยู่ตอนนั้นเอง หมอบันทึกเวลาเสียชีวิตให้เป็น 6.45 น.หลังจากนั้นเป็นธุระส่วนตัวของทางครอบครัวที่ไปจัดการกันจนเสร็จสิ้นมาถึง ทุกวันนี้ตอนไปรับแม่ออกจากห้องไอซียู พยาบาลถึงแจ้งว่า จริงๆ อาการแม่เริ่มๆ ลงตั้งแต่เที่ยงคืนแล้ว อ๊อกซิเจนในเลือดเริ่มลด การทำงานของปอดเริ่มลดลง ค่อยๆ หายใจช้าลง หัวใจเต้นช้าลง อย่างช้าๆ ตลอด 6 ชั่วโมงกว่าๆ จนหยุดสนิทที่ 6 โมง 45 นาที ของวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2557 สิริอายุรวมได้ 69 ปี 9 เดือน 5 วัน สาเหตุการตายในใบแจ้งการตายคือติดเชื้อในกระแสโลหิต “septic shock” เป็นผลให้ระบบหายใจล้มเหลว
หวังว่าจะเป็นข้อมูลเฝ้าระวังให้กับใครได้บ้างไม่มากก็น้อย เพื่อให้ท่านดูแลป้องกันคนที่ท่านรักอาจจะได้ทันท่วงทีได้…
Remark : ความรู้จากหมอคือ คนที่เป็นเบาหวานจะไม่ค่อยสู้เชื้อโรค และคนที่น้ำหนักเกินมากๆ โอกาสที่ถ้าระบบหายใจล้มเหลวหรือเสียหายโอกาสฟื้นตัวจะต่ำลงมาก
สุดท้าย นี้ลูกอยากขอกราบเท้าส่งแม่มาอีกครั้ง ณ วันที่นำบทความนี้มาจัดเก็บไว้ในบล๊อก แม่จากลูกไปครบ 51 วันแล้ว ลูกยังรัก อาลัย และคิดถึงแม่อย่างสุดหัวใจ ขอให้บุญของแม่ที่แม่ได้ทำไว้ถึงพร้อมแล้วในคราวเป็นมนุษย์ที่อยู่กับลูกนี้ เป็นผลน้อมนำให้ดวงวิญญาณของแม่มีแต่ประสบสุขทวี มีทิพยสมบัติทิพยวิมานที่สวยงามและละเอียดยิ่งๆ ขึ้นไป ลูกจะทำบุญหนุนนำไปให้แม่เสมอๆ

ด้วยรัก อาลัย คิดถึง แม่ อย่างสุดหัวใจ
19.9.2557 00.37 น.