แม้คนค่อนโลกจะชื่นชมความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของเกรต้าในการออกมารณรงค์เพื่อให้มีแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่เมื่อเกรต้าเริ่มเป็นที่รู้จักและเสียงของเธอ “ดัง” ขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมขวาจัดและกลุ่มคนที่ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อนต่างหันมาโจมตีเธออย่างต่อเนื่อง
นักการเมืองหลายคนบอกว่าเธอเป็นพวกกระต่ายตื่นตูม (alarmist) ว่าโลกกำลังจะพบจุดจบ ทำให้ผู้คนหวาดกลัวโดยใช่เหตุ ขณะที่หลายคนหันมาล้อเลียนน้ำเสียงราบเรียบ แววตาที่ดูตื่นกลัวในบางครั้ง บุคลิกที่ไม่เหมือนคนปกติ และพยายามบอกว่าเธอก็เป็นแค่เด็กออทิสติกเพี้ยนๆคนหนึ่ง
ใครที่เคยอ่านประวัติของเธอคงจะทราบว่า เกรต้ามีอาการ แอสเพอร์เกอร์ (Asperger Syndrome) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติบางส่วนของระบบประสาท ที่ทำให้มีพัฒนาการทางการพูดช้า บกพร่องในการใช้สีหน้าท่าทางเพื่อการสื่อสาร มีปัญหาในการเข้าสังคม จัดเป็นอาการออทิสติกอย่างหนึ่ง
หนูอาจจะเห็นโลกแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง หนูมีความสนใจพิเศษเฉพาะ และสามารถจดจ่ออยู่กับบางเรื่องได้เป็นเวลานานๆ ซึ่งอาจเป็นเรื่องปกติของเด็กออทิสติกที่มักจะมีความสนใจเฉพาะทาง” เธออธิบาย สำหรับเกรตา นั่นคือการทุ่มเทความสนใจทั้งหมดให้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตลอด 7 ปีที่ผ่านมา
เกรตาเริ่มสนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจังเมื่อตอนอยู่ ป.3 อายุแค่ 9 ขวบ “ตอนนั้นครูสอนเรื่องการประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ และไม่กินทิ้งกินขว้าง หนูเลยถามว่าทำไม คุณครูจึงอธิบายให้ฟังเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หนูก็มานั่งคิดว่าถ้ามนุษย์กำลังเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศของโลกจริงๆ นี่มันเป็นเรื่องใหญ่มาก“
เกรตาจึงเริ่มศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เธอหยุดบริโภคเนื้อสัตว์ และแทบไม่ซื้อสิ่งของอะไรใหม่เลยยกเว้นจำเป็นจริงๆ เธอหยุดเดินทางด้วยเครื่องบินมาได้ 4 ปีแล้ว ครอบครัวของเธอติดตั้งแผงโซลาเซลล์ หันมากินมังสวิรัติและปลูกผักกินเอง
การมาเยือนสหรัฐอเมริกาของเกรต้าเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ เพราะแม้จะมีคนตื่นเต้นต้อนรับเธอมากมาย แต่ก็คงจะพบกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่หนักหนาที่สุดครั้งหนึ่ง สหรัฐอเมริกาน่าจะมีจำนวนคนที่ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อนอยู่มากที่สุดในโลก รวมทั้งอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซที่เป็นปฏิปักษ์กับเธอโดยธรรมชาติ
ล่าสุดก็มีการล้อเลียนท่าทางตอนที่เธอเดินทางมาถึงนิวยอร์ก และกล่าวกับฝูงชนที่มาต้อนรับว่า ท่าทางของเธอดูเหมือนคนไม่ปกติ เหมือนคนป่วย ซึ่งเกรต้าเขียนตอบทางโซเชียลมีเดียของเธอว่า
“เมื่อคนที่เกลียดคุณล้อเลียนรูปร่างหน้าตาบุคลิกและความแตกต่างอื่นๆของคุณ แสดงว่าเขาไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว และคุณรู้ว่าคุณกำลังชนะ!”
“หนูมีอาการแอสเพอร์เกอร์ ซึ่งนั่นทำให้บางครั้งหนูอาจจะดูแตกต่างจากปกติ แต่ในบางสถานการณ์ ความแตกต่างคือพลังพิเศษ”
หนูไม่ได้ป่าวประกาศว่าหนูมีอาการนี้ หรือคิดว่าเป็นปมด้อย แต่หนูก็รู้ว่ามีคนที่ไม่สนใจอะไรอีกมากที่มองอาการนี้ในแง่ลบ หรือมองว่ามันคืออาการป่วย ซึ่งหนูรู้ดีที่สุด ตอนรู้ผลตรวจว่าเป็นโรคนี้หนูท้อแท้มาก ก่อนหน้าที่หนูจะตัดสินใจออกมาประท้วง หนูไม่มีแรง ไม่อยากทำอะไร ไม่มีเพื่อน และไม่คุยกับใคร หนูนั่งอยู่เฉยๆที่บ้านทั้งวัน และแทบไม่กินอะไรเลย
แต่เรื่องแย่ๆทั้งหมดนั้นคืออดีตไปแล้ว ตั้งแต่หนูได้ค้นพบความหมาย(ของการมีชีวิตอยู่)…ในโลกที่ดูไร้ความหมายสำหรับใครอีกหลายคนเหลือเกิน”
ผู้ใหญ่ที่มองว่าเกรต้าคือคนป่วย และเลือกที่จะมองข้ามเหตุผล ข้อมูลและความถูกต้องชอบธรรมในสิ่งที่เธอพยายามต่อสู้
ผู้ใหญ่ที่ยังคิดว่ามนุษย์อยู่เหนือธรรมชาติ และสามารถทำลายธรรมชาติในนามของการพัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ห่วงอนาคตของคนรุ่นลูกรุ่นหลาน
ผู้ใหญ่เหล่านั้นต่างหากคือคนป่วยที่แท้จริง
ภาพ: Greta Thunberg
ขอบคุณที่มา : แฟร์ลี่เทล FairlyTell , ReReef