ทุกวันอาทิตย์ Museo del Oro หรือพิพิธภัณฑ์ทองคำในโบโกตาจะเปิดให้เข้าดูฟรี มีศิลปะวัตถุโบราณให้ดูหลายหมื่นชิ้น ความจริงเราถ่ายรูปไว้มากกว่านี้ แต่ด้วยเหตุบางอย่างเลยเหลือรูปมาแค่นี้ งานส่วนใหญ่เป็นพวกเครื่องประดับทองคำ แต่ก็มีเซรามิกส์ไม่น้อยด้วย
El Dorado ภาษาสเปน แปลว่า สิ่งที่ชุบทองคำหรือสิ่งที่ทำจากทองคำ ตอนหลังมักหมายถึงเมืองทองคำ ตำนานเรื่อง El Dorado เริ่มขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 16 เมื่อนักสำรวจชาวสเปนล่องเรือมาถึงอเมริกาใต้ พวกเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับชนพื้นเมืองชาติหนึ่งที่อาศัยในที่ราบสูงของเทือกเขาแอนดีส ซึ่งคือประเทศโคลอมเบียในปัจจุบัน ชนชาตินี้มีชื่อว่า Muisca (Chibcha) ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่อารยธรรมก้าวหน้าในทวีปอเมริกา อันประกอบด้วย อินคา มายา แอสเท็กและมูอิสกา
เมื่อ zipa (ผู้นำ—อารยธรรมมูอิสกาไม่มีกษัตริย์ เพราะปกครองในระบบสมาพันธรัฐ) ของชาวมูอิสกาคนใหม่จะขึ้นครองอำนาจ เขาจะไปทำพิธีกรรมที่ทะเลสาบ Guatavita ซิปาจะนั่งเรือออกไปกลางทะเลสาบ เปลือยกาย ใช้ดินเหนียวพอกตามตัว แล้วโรยผงทองเต็มทั้งตัว จากนั้นก็โยนเครื่องทองและอัญมณีมีค่าลงไปในทะเลสาบเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าผู้รักษาความสมดุลของโลก หลักฐานทางโบราณคดีภายหลังเชื่อว่าพิธีกรรมนี้ยกเลิกไปแล้วตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 15
พอพวกสแปเนียร์ดได้ยินเรื่องเล่านี้ ก็เริ่มเรียกผู้นำอาบผงทองคำว่า El Dorado และมีการแต่งเติมเสริมต่อต่างๆ นานา พวกสเปนและชาวยุโรปเชื่อว่ามีเมืองที่เต็มไปด้วยทองคำซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในทวีปอเมริกา ตำนานนี้เองกระตุ้นให้นักแสวงโชคจากสเปนและยุโรปเดินทางไปสู่อเมริกาใต้ ยึดครองทวีปนี้ กดขี่ชาวพื้นเมืองลงเป็นทาสและเกือบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวพื้นเมืองด้วยการฆ่าฟันและโรคระบาด (ชาวพื้นเมืองไม่มีภูมิต้านทานโรคบางอย่างที่ชาวยุโรปนำติดตัวไป เช่น ฝีดาษ)
ชาวสเปนหาเมืองเอลโดราโดไม่เจอ แต่เจอทะเลสาบ Guatavita ในปี 1545 กองกิสตาดอร์สองคนเกณฑ์แรงงานให้มาตักน้ำออกจากทะเลสาบเป็นเวลา 3 เดือน จนน้ำลดระดับลงไป 3 เมตร พวกเขาเจอทองจำนวนไม่มากนัก แต่ยังปักใจเชื่อว่ามีทองมากกว่านี้จมอยู่ก้นทะเลสาบ
ในปี 1580 นายวานิชคนหนึ่งในเมืองโบโกตาพยายามระบายน้ำออกจากทะเลสาบอีกครั้งโดยขุดร่องลึกตรงริมตลิ่งและระบายน้ำออก จนสามารถลดระดับน้ำได้ถึง 20 เมตร ก่อนที่ร่องนี้จะพังลงมาและฆ่าแรงงานเสียชีวิตจำนวนมาก เขาเจอทองคำ อัญมณีและสิ่งของมีค่าต่างๆ ไม่มากนัก และส่งของเหล่านี้ไปถวายกษัตริย์ฟิลิปที่สองแห่งสเปน สุดท้ายนายวานิชคนนี้ตายด้วยความยากจนและถูกฝังศพไว้ที่โบสถ์แห่งหนึ่งใกล้ทะเลสาบ
ในปี 1898 ชาวอังกฤษตั้งบริษัทเพื่อหาทองคำในทะเลสาบแห่งนี้ พวกเขาใช้อุโมงค์ระบายน้ำจนเหลือแต่โคลนเลน แต่เจอของมีค่ามูลค่าแค่ 500 ปอนด์และนำไปประมูลที่ Sotheby’s ในกรุงลอนดอน สุดท้ายบริษัทนี้ก็ล้มละลายไป
ความเชื่อในเรื่อง El Dorado นำพาให้คนล้มละลายและตายอีกหลายคน คนที่โด่งดังคนหนึ่งคือชาวอังกฤษ Sir Walter Raleigh ซึ่งตามหาเมืองเอลโดราโดจนลูกชายตายและตัวเองถูกกษัตริย์อังกฤษประหารเพราะไปมีเรื่องรบพุ่งกับสเปน นอกจากคนพื้นเมืองที่ต้องตายไปหลายล้านคนเพราะตำนานนี้ โบราณสถานต่างๆ ก็ถูกปล้น ถูกขุดค้นมากมาย จนทำให้ร่องรอยของอารยธรรมโบราณสูญหายไปจำนวนมาก นักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันเชื่อว่า อารยธรรมมูอิสกาไม่ได้มีแหล่งทองคำของตัวเอง พวกเขาได้ทองคำมาจากการค้ากับดินแดนอื่น เพียงแต่มีฝีมือในการนำทองคำมาทำเป็นเครื่องประดับ
ขอบคุณที่มา : ภัควดี วีระภาสพงษ์
(ได้รับอนุญาติจากเจ้าของบทความแล้ว)