การใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกาในระยะยาว สิ่งที่สำคัญมากๆ เรื่องหนึ่งคือ ประวัติเครดิตของตัวบุคคล ดังนั้น สำนักงานอย่าง Credit Bureau จึงเกิดขึ้น และมีสำนักงานใหญ่ๆ อยู่สามแห่ง คือ Equifax, TransUnion และ Experian ประวัติต่างๆ ตั้งแต่การเปิดบัญชีเล็กๆ น้อยๆ ของประชาชนทุกคน จะมาจมอยู่ที่ Credit Bureau ทั้งสามแห่งนี้ทั้งหมด
ID ที่สำคัญคือ ชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิด และหมายเลขบัตรประกันสังคม
กฎหมายใน US อนุญาตให้ประชาชนสามารถขอประวัติจาก Credit Bureau เหล่านี้ได้ฟรี ปีละหนึ่งหน เพื่อที่จะให้ตัวบุคคลทราบว่า สถานะของตนเองอยู่ในระดับใด และประวัติต่างๆ ถูกต้องหรือไม่
——-
การมีประวัติอยู่ใน Credit Bureau ไม่ได้หมายความว่า ท่านมีหนี้สินรุงรังแบบต้อง “ขายหน้า” แต่อย่างใด เพราะประวัติที่อยู่ในนั้น ก็บอกให้ทราบแล้วว่า ท่านมี “หนี้สิน” จาก เครดิตการ์ดเท่าไร และมีหนี้สินที่ต้องส่งประจำอย่างเช่น บ้านและรถยนต์มากน้อยขนาดไหน เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของรายได้
ใน US เรามีการให้คะแนนเครดิตหรือ Credit Scores จาก 300 ถึง 850 และคะแนนเหล่านี้ จะเป็นตัวตัดสินเรื่องการกู้ยืมว่า จะได้รับวงเงินเท่าไร อัตราดอกเบี้ยเท่าไร คนที่มี Credit score สูง ก็จะได้รับวงเงินเครดิตเพิ่มขึ้น รวมทั้ง ดอกเบี้ยการกู้ยืมที่ต่ำกว่า อัตราดอกเบี้ยของคนที่มี Credit score ต่ำกว่า
————
ปกติ เราจะเห็นหมวดการคำนวณคะแนนใหญ่ๆ 5 ข้อคือ:
1. ประวัติการจ่ายเงิน (35%) เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดว่า ท่านจะต้องจ่ายบิลล์หรือตาม Statement ตรงเวลาเสมอ นั่นคือ ไม่เคยสาย หรือ ขาดหายไปเป็นเดือนๆ ถ้าจะจ่ายช้า แบบ 30, 60 หรือ 90 วัน มันจะมีผลกระทบต่อเรื่องนี้มากที่สุด
2. จำนวนเงินที่เป็นหนี้สินอยู่ (30%) เรื่องนี้เป็นสัดส่วนกับวงเงินเครดิตที่ได้รับทั้งหมด และมีการคำนวณเกี่ยวกับประเภทของหนี้สินด้วยว่า เป็นเรื่องของบัตรเครดิต หรือ เรื่องบ้าน และ รถยนต์ เพราะสองอย่างหลังนี้ ต้องคำนวณคนละอย่างกันกับบัตรเครดิต เพราะจำนวนการจ่ายต่อเดือน จะเท่ากันเป็นเวลานาน (จ่ายเป็นงวดๆ ) แต่จำนวนหนี้สินในบัตรเครดิต อาจจะต่างกัน จากเดือนหนึ่งไปสู่อีกเดือนหนึ่ง
3. ระยะเวลาที่เปิดเครดิตมา (15%) ถ้ายิ่งมีประวัติมากขึ้นหรือนานขึ้น มันจะเป็นผลดีกว่า คนที่เพิ่งมีประวัติเครดิตมาเพียงปีสองปี
4. การเปิดบัญชีใหม่ (10%) ในมุมมองของการกู้ยืมนั้น หากมีการเช็คประวัติเครดิตทอยู่บ่อยครั้ง นั่นหมายความว่า ตัวผู้ขอ กำลังต้องการขยายเครดิตมากขึ้น นั่นแสดงถึงความเสี่ยงอย่างหนึ่งในการกู้ยืม เรื่องนี้ ยิ่งมีน้อยเท่าไร ก็เป็นเรื่องดีเท่านั้น เพราะไม่อย่างนั้น ตัวผู้ขอ จะทำการเปิดบัญชีใหม่ไปเรื่อยๆ
5. ประเภทของเครดิตที่มีอยู่ (10%) เป็นต้นว่า เครดิตการ์ด, เครดิตจากร้านสรรพสินค้า, หนี้สินที่ต้องผ่อนส่งเป็นงวดๆ เช่น ค่าเล่าเรียน หรือ แม้แต่ บัญชีการผ่อนส่งบ้าน
———-
ปกติแล้ว ทางผู้ให้กู้จะพยายามเช็คเรื่อง อัตราการใช้เครดิตของตัวบุคคล หรือ Credit Utilization Ratio ว่า อยู่ในเกณฑ์ประมาณเท่าไร (ตัวอย่างเช่น มียอดเงินในวงเครดิตทั้งหมด 1 แสนบาท และมีหนี้สินเครดิตทอยู่ 25,000 บาท ก็หมายความว่า ใช้เครดิตทอยู่ในอัตราประมาณ 25%) และมีการเช็คยอดหนี้สินว่ามีเหลืออยู่เท่าไรอีกด้วย ซึ่งปริมาณที่เสี่ยงน้อยก็คือ อยู่ในอัตรา 15-25% นั่นก็คือ ยังเหลือยอดเครดิตทอยู่มากที่ยังไม่ได้ใช้
บริษัท Credit Bureau ทั้งสามแห่งนี้ ก็ทำการคำนวณตัวเลขขึ้นมา จาก 300-850 ที่เราเรียกกันว่า FICO Score ซึ่งเป็นตัวชี้ชะตาของผู้ขอเครดิตเลยว่า จะผ่านหรือไม่ผ่านกัน
———-
ดิฉันไม่ทราบเรื่องของ Credit Bureau ในไทยว่า ใช้หลักการเดียวกันกับใน US หรือเปล่า เพราะเห็นโพสต์ต่างๆ ในวันนี้ ว่า มีวิทยากรท่านหนึ่งถูกปฎิเสธวีซ่า เนื่องจากมีหนี้สิน ซึ่งจริงๆ แล้ว มันไม่น่าจะเป็นความจริงเท่าไร เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในเรื่องคะแนนเครดิตที่ต่ำ ก็คือว่า จ่ายหนี้สินตรงเวลาหรือไม่ หากไม่จ่ายตรงเวลาจนกระทั่ง มีโทรศัพท์มาทวงหนี้กัน นั่นก็หมายความว่า Credit Score คงจะแย่แน่นอน
ดิฉันก็ไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับการอนุมัติวีซ่าในไทยว่า เกี่ยวข้องกับ Credit Bureau แค่ไหน แต่ถ้ามีประวัติเรื่อง การจ่ายหนี้ไม่ตรงเวลามากขึ้น รวมทั้งจำนวนเงินที่ยังเป็นหนี้อยู่มากมาย มันก็อาจจะเป็น red-flag ให้ทราบว่า มีความเสี่ยงเกิดขึ้น หากตัดสินใจเดินทางออกต่างประเทศเป็นเวลานาน และอีกเรื่องหนึ่งคือ ผู้สมัครขอวีซ่า อาจจะมีรายได้เสริม ซึ่งไม่ถูกต้องกับการขอวีซ่าท่องเที่ยว เพราะเมื่อมีรายได้ ก็จะต้องรายงานให้ทาง Internal Revenue Service หรือสรรพากรได้ทราบ เพื่อจัดการเรื่องการเก็บภาษีต่อไป
———-
ดิฉันมีเพื่อนที่มีหนี้สินเรื่องการผ่อนบ้าน และ ผ่อนรถยนต์ รวมทั้ง บัตรเครดิตนิดหน่อย แต่ประวัติเครดิตของเธอ ได้คะแนนเกิน 800 นั่นก็หมายความว่า เธอจ่ายหนี้สินตรงเวลาและใช้เครดิตอย่างถูกต้อง เธอบอกว่า มีบัตรเครดิตทอยู่แค่ 3 ใบ และส่วนใหญ่จะใช้ใบเดียว มีอีกใบเป็นใบสำรองฉุกเฉินเท่านั้นเอง และก็ไม่ได้เปิดบัญชีอะไรใหม่ๆ หลายบัญชี ให้เป็นที่สงสัยกัน
ดิฉันไม่ทราบว่า ประชาชนสามารถขอประวัติจาก Credit Bureau ได้ฟรีปีละครั้ง อย่างใน US หรือเปล่า ถ้าหากเกิดทำได้ ท่านก็น่าจะไปขอกัน เพราะว่า อาจจะมีข้อผิดพลาดเยอะ ถ้าท่านสามารถแก้ไขประวัติบางอย่างได้ มันอาจจะช่วยเพิ่มคะแนนให้กับท่านเกี่ยวกับเรื่องการกู้ยืมในอนาคตต่อไป
Happy Thursday ค่ะ
ขอบคุณที่มา : Doungchampa Spencer-Isenberg