วัฒนธรรมสยาม กลัวเมียแต่เจ้าชู้?

ทำไมวัฒนธรรมครอบครัวไทยมันถึงได้แปลกประหลาดแบบนี้

14937439_1167937036627720_1821332218062663841_n

เรื่องเริ่มมาจากตอนที่ผมคุยกับฝรั่งคนนึงที่แต่งงานกับไทยอีสาน แล้วเกิดคัลเจอร์ช็อค

ทำไมวัฒนธรรมครอบครัวไทยมันถึงได้แปลกประหลาดแบบนี้?

เราต้องเข้าใจก่อนว่าวัฒนธรรมครอบครัวของไทยตอนนี้นั้นเกิดจากผสมกันระหว่างความคิดที่มีอยู่ก่อน ตั้งแต่สมัยก่อนไทยถูกทำให้เป็นสมัยใหม่ และค่านิยมที่เกิดขึ้นโดย ร.5 – คณะราษฎร์

อย่างแรกเลย ลืมภาพละครย้อนยุคทั้งหมดทิ้งไป นั่นเป็นค่านิยมที่ไม่เป็นจริงในสยามสมัยนั้นครับ

หมอสอนศาสนาที่ไปเผยแผ่ศาสนาแถบอีสาน ในสมัย ร.5 เคยอธิบายถึงเหตุการณ์แปลกประหลาดไว้ว่าวันหนึ่งลูกหาบที่เขาจ้างไว้ทำงาน ก็มาหาตอนค่ำๆ และบอกว่าโดนเมียไล่ออกจากบ้านแล้ว ขอทำงานรับใช้ประจำเลยได้มั้ย อาทิตย์ต่อมาเมียของชายคนนี้ก็มีผัวใหม่

หมอสอนศาสนาตกใจมาก เพราะจารีตแบบคริสต์นั้น การหย่าเป็นเรื่องยากมากๆ แต่สำหรับชาวสยามนั้น การหย่าเกิดขึ้นง่ายๆเพียงแค่เมียเอาข้าวของผัวโยนออกนอกหน้าต่างแล้วไม่ให้เข้าบ้านเท่านั้นเอง

ในบ้านที่มีจารีตแบบคนจีน และขุนนางไทย ผู้ชายจะเป็นใหญ่ในบ้าน แต่ชาวบ้านรอบนอกซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ไม่เป็นเช่นนั้น

เหตุเพราะ

1. ผู้ชายต้องถูกเกณฑ์แรงงานไปรับราชการปีหลายผลัด ปีนึงหายไปเกือบ 6 เดือน

คือกลับมาทำนา แล้วถึงเวลาก็ไปอยู่กับนาย กับเพื่อนฝูง ทิ้งบ้านไว้ ดังนั้นผู้ที่จัดการทรัพย์สิน ลูกหลาน ข้าทาส บริวาร ทั้งหลายจึงเป็นผู้หญิง ความสามารถในการค้าขาย บริหารจัดการ การศึกษา ทั้งหมดอยู่กับผู้หญิง ส่วนผู้ชายนั้นทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากการรบ และทำนา

ดังนั้นเกียรติของชายสยามคือการไปทำงานให้นายได้ดี แล้วได้อวยยศมาเพิ่ม ได้พระราชทานที่นา ได้ตำแหน่งปกครอง

ผู้สยามเลยบ้ายศ อยากเป็นข้าราชการกันมาก แต่จริงๆได้ยศมา คนทำงานบริหารดูแลที่ดินคือผู้หญิงอยู่ดี ผู้ชายถ้ามียศแล้วไม่ต้องทำงานเองก็ทำอยู่สองอย่างคือกินเหล้ากับเลี้ยงไก่ชน

2. วัฒนธรรมลาวอีสาน มรดกที่ดินเป็นของลูกสาว และลูกเขยแต่งเข้า ต้องทำงานรับใช้ พ่อตา-แม่ยาย

เนื่องจากความคิดว่าผู้ชายเนี่ย มีพร้าขัดหลังก็หากินได้ ไม่ตายหรอก แต่ผู้หญิงทำไม่ได้ บ้าน ที่นา และทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อแม่จะถูกสืบทอดให้ลูกสาว

แม้แต่การอบรมเลี้ยงดู พ่อแม่ยังจริงจังกับการสั่งสอนลูกสาวมากกว่า เพราะคิดว่าจะเป็นคนที่เลี้ยงดูพ่อแม่ตอนแก่ด้วย

ส่วนผู้ชายนั้น ถือเป็นแรงงาน เมื่อแต่งงานเข้ามา จะต้องเป็นแรงงานทำนาในที่นาของ พ่อแม่ฝ่ายหญิงก่อน 1-2 ปี ถึงจะถือว่าแต่งงานได้ตามระเบียบ จะแยกเรือนใหม่อะไรก็ว่าไป

การเลี้ยงลูกชายก็เลยมักจะทำแบบส่งๆ พอโตขึ้นหน่อยก็ปล่อยออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน จะหายไปไหนเป็นวันๆ ยังไม่สนใจ

พูดง่ายๆว่าแบ่งกันว่าชายมีกำลัง หญิงมีทรัพย์สิน

เพราะเหตุนี้การหย่าเลยเป็นสิทธิ์ของฝ่ายหญิง เพราะบ้านและที่ดินเป็นของผู้หญิง จะไล่ใครออกไปเมื่อไหร่ก็ได

นอกจากนั้นฝ่ายชายก็เลยมีหน้าที่เลี้ยงพ่อแม่ของฝ่ายหญิงด้วย – เป็นสิ่งที่ฝรั่งไม่เข้าใจ

3. ศาสนา – จริงๆศาสนาพื้นถิ่นของสยามคือถือผี มากกว่าพุทธ พุทธทุกคนถือผีด้วย แต่ไม่ใช่ว่าถือผีทุกคนจะถือพุทธ

ในศาสนาถือผี ผู้หญิงมักจะมีอำนาจในการบวงสรวงติดต่อกับผีสูงกว่า ติดต่อ เข้าทรง ใช้คาถาอาคม ทำนาย เรียกขวัญ รักษาโรค อำนาจของฝ่ายชายมาจากจากรีตของพุทธที่ผู้หญิงบวชไม่ได้

เรื่องการแต่งงานนี่ มันมีการผิดผีจริง แต่มันแก้ได้ด้วยการแต่งงานกันไปเลย และเมื่อไม่มีการจำกัดด้วยว่าแต่งได้กี่ครั้ง มีแฟนเร็ว เสียผี ก็แต่งๆกันไป ปัญหามันอยู่ที่ฝ่ายชายจะมีปัญญาเลี้ยงมั้ยเท่านั้นเอง เนื่องจากอย่างที่บอกว่าทรัพย์สินเป็นของฝ่ายหญิง ดังนั้นถ้าไม่ใช่ขุนนางก็ไม่มีปัญญามีน้อยหรอก

ส่วนฝ่ายหญิงนี้ ก็มีบ่อยๆเรื่อง ชายไปรับราชการ กลับมาเมียมีผัวใหม่แล้ว – เป็นดราม่าปรกติของยุคสมัยนั้น

++++++++++++++

เมื่อการปฏิรูปของ ร.5 และ คณะราษฎร เกิดขึ้นสองระลอก ก็ทำให้ระบบสังคมเดิมเปลี่ยนแปลงไป

ร.5 เปลี่ยนระบบไพร่แรงงานเป็นรัฐสมัยใหม่ เกิดนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีข้าราชการปกครองประจำ อำนาจถูกถ่ายเทเข้าสู่ชายธรรมดาที่ขึ้นมาเป็นข้าราชการโดยไม่ต้องไปรบ

กฎหมายเริ่มใช้งานในหมู่บ้านต่างๆได้ และเข้ามาจัดการกับเรื่องการแต่งงาน การหย่า ทรัพย์สมบัติ ผู้ชายก็รับเอาวัฒนธรรมแบบขุนนางมา

ทีนี้ก็มีเมียไปเรื่อย มีเยอะคือคิดว่ามันเท่ไง แสดงว่ามีข้าทาสบริวารเยอะเลี้ยงได้ เหมือนเป็นพวกเจ้านายในศูนย์กลางอำนาจสมัยก่อนหน้านั้น

พอคนจีน ซึ่งชายเป็นใหญ่ และเมียเยอะเข้ามาอยู่ร่วมในหัวเมืองด้วย และเริ่มมีฐานะดี ลูกสาวชาวพื้นถิ่นก็ไปเป็นเมียน้อยคนจีนกันเยอะขึ้น เพราะรวยกว่า

คณะราษฎรทำการปรับเปลี่ยนสังคมอย่างเป็นระบบมาก เพราะเป็นยุคสมัยใหม่แล้ว เกิดสิ่งที่เรียกว่า “โรงเรียน” และ “ชุดความคิดรัฐนิยม” ขึ้นทุกพื้นที่

ความคิดแบบผู้ดี นั้นมีอยู่ก่อนแล้ว มาจากยุโรปในสมัย ร.6 แต่พึ่งเข้าสู่รากหญ้าทั้งประเทศอย่างเป็นระบบด้วยโรงเรียน

โรงเรียนกระจายความคิด ร่วมกับข้าราชการที่รับคำสั่งจากส่วนกลาง

กฎหมาย และค่านิยม ของคณะราษฎรนั้น เรารับมาจากยุโรปทั้งหมด ทั้งเรื่องครอบครัว ทรัพย์สิน และการตัดสินว่าอะไรมีหรือไม่มีอารยธรรม

ค่านิยมครอบครัวแบบวิคตอเรียถูกปลูกฝังลงสู่รากหญ้า กฎหมายก็ล็อกเลยว่าชายหญิงต้องมีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น

การแต่งตัวเปลือยอกของหญิง ถูกห้ามเด็ดขาด

การคบกัน อยู่กิน เสียตัวก่อนแต่งงานกลายเป็นเรื่องซีเรียส

ระบบครอบครัวของเรากลายเป็นแบบยุโรป

++++++++++++

แต่ว่าความเฉื่อยทางวัฒนธรรมยังมีอยู่

ผู้ใหญ่ยังปล่อยๆผู้ชายไปแว้นกับเพื่อน ในขณะที่จริงจังกับการอบรมดูแลลูกสาว

สังคมแบบนี้มันเอื้อให้เกิดการได้เสียกันแต่อายุน้อย ซึ่งเมื่อก่อนไม่ซีเรียส พอสมัยนี้เรื่องนี้มันซีเรียสขึ้นมา ถ้าไปแก้ผิดผีจับแต่งไปเลยก็ไม่ได้เลยเป็นปัญหา

ค่านิยมมีเมียเยอะแล้วเท่เหมือนขุนนางใหญ่ยังมีอยู่

ศาสนาพุทธนั้น ศีลมันมาว่า กาเมสุ มิจฉาจารา… ห้ามประพฤติผิดในกาม แต่ไม่ได้กำหนดจำนวนเมียไว้ จึงห้ามผิดลูกผิดเมียคนอื่น แต่ไม่กำหนดห้ามมีเมียน้อยล็อกไว้ตรงๆ โดยความคิดเชิงศีลธรรมนั้น ถ้าฝ่ายหญิงยอมและแต่งเป็นเมียน้อยจริงๆจังๆแล้วฝ่ายชายก็ไม่ค่อยรู้สึกบาป ฝ่ายหญิงจะรู้สึกบาปกว่า แต่ศาสนาถือผีก็ให้ทางออกทางศีลธรรมได้อยู่ดี

คนแก่ก็ยังคิดแบบวัฒนธรรมเก่าคือแก่แล้วไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องเตรียมบำนาญ ไม่ต้องคิดสะสมเงินไว้ใช้ตอนแก่ เพราะลูกหลานมีหน้าที่เลี้ยงดู พอสังคมจู่ๆกระโดดเข้าสู่สังคมครอบครัวเดี่ยวแบบยุโรปเลยชิบหายกันหมด

สังเกตว่าคนพื้นเพบ้านนอก ที่มาโตในเมือง และรับค่านิยมทางครอบครัวแบบยุโรปผ่านความคิดของโรงเรียน มหาลัย ในตัวเมืองแล้ว จะรับความคิดทางครอบครัวแบบชนบทไม่ได้ – พวกคนเมืองจะแต่งงานช้า รักความเป็นอิสระ อยู่เป็นครอบครัวเดี่ยว มีระบบศีลธรรมแบบตะวันตก

เลยเป็นความขัดแย้ง และแยกออกจากกันระหว่างคนไทยทีรับวัฒนธรรมใหม่ กับคนที่ยังอยู่ในจารีตเก่า

ประเทศไทยเป็นโลกที่สับสนปนแป มั่วๆ แอปสแตรกกันทุกมิติแบบนี้แหละครับ

ที่มา : Starless Night – Harit Mahaton