
เห็นข่าวมีนักแสดงหลายๆท่าน ที่เจ็บป่วยด้วยโรคโน้นนี้ และได้ทำการเข้ารักษาในโรงพยาบาลจนหมดเนื้อหมดตัว และพอหมดตัวก็มีข่าวออกมาขอความช่วยเหลือ
เราว่าเค้าไม่รู้จักโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า(เข้าใจง่ายๆว่าบัตรทอง หรือ 30 บาท)จริงๆ ว่ามันเป็นยังไงแน่ๆเลยอะ
เลยเลือกที่จะบ่ายหน้าออกจากโรงพยาบาลรัฐกันหมด คงจะมีมโนภาพว่า โรงพยาบาลรัฐ เจ้าหน้าที่ดุ ร้อน คนเยอะ ต้องทำตัวลีบๆ รอคิวนาน ได้แต่ยาพารา (ซึ่งยาพาราในเคสไหนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ เค้าก็ไม่ให้นะ) รอคิวรักษานาน ระหว่าง
รอคิวผ่าก็โดนคนใหญ่คนโตใช้สกิลฟาสแทร็คเข้าลัดคิว ทำให้ตนเองรอไม่ไหว และโครงการนี้ดูเป็นโครงการของคนจน (ไม่ได้มโนค่ะ ได้ยินและอ่านเจอมาเองกับตัว) จึงไม่ได้ใช้สิทธิการรักษานี้
คือถ้ายังมีเงินจะรักษาที่ไหนมันก็ได้ ไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ถ้าหากไม่มีเงินแล้ว หรือมีเงินแต่อยากใช้สิทธินี้ คนไทยทุกคนก็ทำได้นะคะ เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทย เพียงแต่ท่านลองเช็คว่าสิทธิของท่านนั้นอยู่ที่โรงพยาบาลต้นสังกัดโรงพยาบาลไหน ซึ่งสายด่วนเขาก็มีให้บริการทั้งวันทั้งคืน เบอร์โทรก็สี่ตัว 1330 โทรถามได้ หรือมีข้อสงสัยใดๆ ว่าโรคของตัวเองบัตรทองครอบคลุมหรือเปล่าก็ลองโทรไปสอบถามข้อมูลกันก่อนได้ ยกเว้นคนที่มีสิทธิประกันสังคม ถ้าเข้าใจไม่ผิดคือต้องใช้สิทธิประกันสังคมค่ะ
มีหลายท่านให้ความเห็นว่า อยากให้โครงการนี้เข้าโรงพยาบาลไหนก็ได้ เอกชนก็ได้ รัฐก็ได้ เราว่ามันไม่ค่อยโอเคนะคะ คือที่โครงการบัตรทองต้องมีการไปโรงพยาบาลต้นสังกัดก่อน เพื่อเป็นการลดความแออัดของโรงพยาบาลใหญ่ๆ ไม่ให้คนไข้มากระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งที่เดียว เพราะโรคบางโรค โรงพยาบาลขนาดเล็กหรือกลาง มีความสามารถที่จะรักษาได้แน่นอน เพียงแต่ถ้าเกินกำลังของโรงพยาบาลนั้นๆแล้ว ก็จะมีการส่งต่อตามลำดับชั้นของเขตสาธารณสุขค่ะ จากอำเภอ ก็เป็น จังหวัด แต่ถ้าในจังหวัดไม่มีผู้เชี่ยวชาญก็สามารถส่งข้ามจังหวัดได้ค่ะ และกรณีที่เจ็บป่วยฉุกเฉินก็สามารถเข้าโรงพยาบาลของรัฐที่ไม่ใช่ต้นสังกัดได้ เช่นไปต่างจังหวัดอะไรงี้ และถ้าฉุกเฉินมากๆ(แบบอาจเสียชีวิต) ก็สามารถเข้าโรงพยาบาลเอกชนได้ โดยจากจุดที่เราเจ็บป่วยนั้นต้องไม่ผ่านโรงพยาบาลรัฐมาก่อนนะคะ ไม่งั้นถือว่าเลือกโรงพยาบาลแล้วค่ะ โดนค่ารักษารัฐนั้นจะจ่ายให้แน่นอนค่ะ เรื่องนี้ยืนยันด้วยตัวได้เพราะเคสคุณพ่อเราเส้นเลือดในสมองแตก ก็ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดซึ่งเป็นเอกชน ค่ารักษาก็ออกมา ครอบครัวเราต้องจ่ายไปก่อน หลังจากนั้นโรงพยาบาลก็ทำเรื่องคืนเงินให้ค่ะ ได้เป็นเชคโอนเข้าบัญชีเรียบร้อย ไม่ยุ่งยากเลย
ส่วนประเด็นที่ว่าอยากให้เข้าเอกชนได้ด้วยนั้น เราเห็นว่ามันเกินไปจากเงินอุดหนุนที่รัฐให้กับประชาชนต่อรายหัวน่ะค่ะ คือด้วยเงินอุดหนุนรายหัวต่อปีที่ไม่มาก ถ้าจะให้เข้าที่ไหนก็ได้เลย เราว่ามันดูเป็นการใช้เงินเกินตัวไปนิดนึงค่ะ และโรงพยาบาลรัฐก็มีหมอที่มีใบประกอบโรคศิลป์เหมือนกับหมอที่อยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนเหมือนกัน มีมาตรฐานการรักษาเหมือนกัน แต่ถ้าอยากเข้าโรงพยาบาลเอกชนจริงๆ ก็ควรจะต้องยอมจ่ายเองดีกว่านะคะ เราได้รู้จักคุณยายท่านหนึ่งที่มีฐานะ บังเอิญได้พักห้องเดียวกับท่าน ตอนเราไปผ่าตัดที่ศิริราช คุณยายบอกว่า ไม่ไปหรอกเอกชน “ถูกและดีต้องที่ศิริราช” ซึ่งเราก็เห็นด้วยนะคะ ค่าห้องไม่แพงมาก ค่าหมอ ค่ายาก็เหมาะสมตามมาตรฐานร.พ.รัฐค่ะ #และโรงพยาบาลรัฐที่อื่นก็เช่นกัน
จริงๆเรื่องบัตรทองถ้าใครตามเฟซเราจะเห็นว่าเราเขียนถึงบ่อยพอสมควร และถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ลองศึกษาสิทธิของตัวเองไว้เพื่อทราบกันด้วยค่ะ แม้ตัวเองอาจไม่ได้ใช้ก็ตาม
ป.ล. รูปดักแก่มากๆ บัตรทองสมัยก่อนส่งไปให้ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน พอได้จดหมายมาก็เปิดซองแล้วมันก็จะมีเจ้ากระดาษเหลืองๆที่และต้องแกะตามรอยปรุ แล้วเอาไปใช้ได้ค่ะ หลายๆคนเอาไปเคลือบพลาสติกก่อน เพื่อกันมันขาด เราก็ด้วย อิอิ แก่
ป.ล. ก็ถ้าเห็นว่าดี แชร์บ้างก็ได้นะ นี่อ้อนเลยค่ะ อยากให้รู้กัน