วันนี้ในกูเกิ้ล
ก่อนจะมาเป็นปูนแดง ปูนขาว เป็นวัสดุที่ได้จากการเผาหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) โดยใช้ความร้อนสูง จะได้เป็นปูนสุก (แคลเซียมออกไซด์, CaO) เมื่อเย็นตัวลงแล้วพรมน้ำให้ชุ่ม ปูนสุกจะทำปฏิกิริยากับน้ำได้เป็น แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ส่วนที่เป็นผงแห้งได้เป็น ปูนขาว …. ปูนแดง ได้มากจากการผสมปูนขาวกับผงขมิ้น (มาถึงตรงนี้ผมก็ งงๆกับวลีที่ว่า ขมิ้นกับปูน เข้ากันไม่ได้ ) จากนั้นทางปฎิกริยาเคมี ก็จะเปลี่ยนปูนขาวเป็นสีแดง เลยเรียกว่าปูนแดง
จาก CaO + H2O = Ca(OH)2 ก็คือเอาปูนขาวหรือปูนแดง ผสมกับน้ำ ก็จะได้ สารละลาย แคลเซียมไฮดรอกไชค์ หรือน้ำปูนใสนั่นเอง (คุณสมบัติเป็นด่าง) คุณสมบัติของสารละลายตัวนี้ก็คือ เมื่อจับตัวกับก๊าช คาร์บอนไดอ๊อกไชค์ จะได้ผลึกหินปูนเล็กๆ
จากหลักการนี้เอง เราทราบว่าในท่อน้ำเลี้ยงของพืชมีก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไชค์อยู่ เมือน้ำพืชเหล่านั้นเช่น กล้วย ฝักทอง ไปแช่น้ำปูนใส ก็จะเกิดผลึกหินบูนเล็กๆในท่อน้ำเลี้ยงทำให้อาหารมีความกรอบ
คนโบราณนี่ท่านเก่งจริงๆนะ
น้ำปูนใส คือ น้ำที่เราเอาน้ำไปผสมกับปูนแดงที่คนเฒ่าคนแก่ท่านเอาไว้ทานกับหมาก แล้วปล่อยให้ตกตะกอน แล้วเราก็ใช้น้ำส่วนที่ลอยเหนือปูนที่ตกตะกอนเอามาใช้
ประโยชน์
๑. รักษาฝี ถ้าฝีที่เริ่มเป็น ให้ทาปูนแดง บริเวณที่เป็นฝีให้ทั่ว รวม ทั้งหัวฝีด้วย หัวฝีจะแห้งในที่สุดจะยุบ แต่ถ้าฝีบวมมากหรือเป็นมานาน แล้ว ให้ทาเฉพาะฐานฝี อย่าทาทับหัวฝี เพราะจะทำให้ปวดมาก เมื่อปูน แห้งลงจะรัดทำให้หนองและหัวฝีออกเร็ว แลหายเร็วขึ้น วิธีที่ใช้ง่าย ที่สุดก็คือ เอาปูนมาผสมน้ำพอข้นๆ ทาแต่วิธีนี้ปุนจะแห้งเร็วเกินไป จึงมักใช้น้ำตาลปีป หรือน้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม จำนวนเท่ากับปูนแดง ผสมให้เข้ากัน แล้วจึงทา จะทำให้ปูนแห้งช้าขึ้น ทาวันละ ๒-๓ ครั้ง
๒. แผลไฟไหม้ ใช้ปูนแดง ( ต้องไม่มีสีเสียดปน) นำมาป้ายบริเวณ ที่ถูกน้ำร้อนลวก หรือไฟลวก ป้ายให้หนาๆหน่อย และเมื่อหายก็จะไม่ มีแผลเป็นให้เห็นอีกด้วย หรือใช้ปุนแดงหรือปูนขาวก้อนเท่านิ้วหัวแม่ มือ ใส่ในน้ำเย็น ๑ แก้ว คนให้ทั่ว ตั้งไว้ให้นอนก้น เทน้ำใสผสมกับน้ำ มันมะพร้าว (หรือน้ำมันถั่ว) ทีละน้อยๆ เติมไปคนไป จนน้ำมัน กลาย เป็นฝ้าขาวไปหมด จึงหยุดคน น้ำมันผสมเช่นนี้ ใช้ทาแก้แผลถูก น้ำร้อนลวกได้ดี .
๓. รักษาแผล เมื่อถูกมีดบาด หรือของมีคม ใช้ยาสุบ(ยาเส้น) กับ ปูนแดงแล้วปิดปากแผล เลือดจะหยุดไหล และแผลจะหายในเวลาต่อมา ถ้าเป็นแผลใหม่ แต่รู้สึกว่ามีขอบแผลเขียว ท่านให้เอาน้ำมันมะพร้าว พอควร แล้วเอาปุนแดงใส่กวนพอข้น พอปิดแผลอยุ่ หมั่นปิดไม่กี่วัน ทุเลาได้ .
๔. แผลแตกที่หัวนม เอาน้ำปูนใส กับน้ำอย่างละเท่าๆกัน เขย่า ให้เข้ากันดี ทาแผลที่แตกที่นม .
๕. แก้โรคบิด เอาเนื้อมะขามเปียก ตำให้ละเอียดผสมกับปูนแดง พอควร ปั้นเป็นลูกกลอน กินวันละ ๓ เวลาก่อนอาหาร โรคบิดจะหาย ไป .
๖. แก้แผลทากหรือปลิงกัด เอาปูนขาวหรือปูนแดง ที่กินกับหมาก ทาตรงบาดแผลนั้น เลือดจะหยุดไหลทันที .
๗. รักษาน้ำกัดเท้า ใช้ปุนแดงผสมน้ำมันมะพร้าวพอควร แล้วทา ก่อนลงน้ำทุกครั้ง น้ำจะไม่กัดเท้าอีกเลย ที่กัดแล้วก็จะหายไปหมด .
๘. แก้หูด ดูว่าหูดเม็ดไหนขึ้นก่อนเพื่อน เกาให้เลือดซึม แล้วนำปูน แดงทาทับไว้ ไม่ให้เลือดซึมออกมา เพราะถ้าซึมออกมาถูกบริเวณอื่น มันจะลุกลามทำไปเรื่อยๆ ในไม่ช้าก็จะหาย .
๙. รักษาโรคผิวหนัง เอาปุนแดงปันเป็นก้อน แล้วนำไปเผาไฟ ให้สุกดี แล้วละลายกับน้ำมันหมู ใช้ทารักษาโรคผิวหนังทั่วไป .
๑๐. แก้คันในที่ลับ เอาน้ำปูนใสกับน้ำอย่างละเท่าๆกัน เขย่าให้เข้า กันดี ใช้ทาแก้คันในที่ลับ ฉีดล้างช่องคลอด .
๑๑. แก้กลิ่นเต่า นำตำลึงสดๆ(เถาหรือใบก็ได้) ตำผสมกับปูนแดง ปริมาณไม่ต้องมาก ทาที่รักแร้ กลิ่นที่เคยมีก็หมดไป .
๑๒. แก้พิษแมลงกัดต่อย เอาปูนแดงป้ายที่แผล จะทุเลาอาการเจ็บ ปวดและยุบบวม .
๑๓. แก้พิษแมงกะพรุนไฟ ให้ทาด้วยน้ำปูนใสบ่อยๆ .
๑๔. แก้ยุงกัด ใช้ปูนแดงแต้มบริเวณที่ถูกกัดเบาๆ นิดเดียวจะไม่คัน และไม่ขึ้นตุ่ม .
๑๕. แก้ข้ออักเสบ ใช้น้ำละลายปุนแดง ทาบริเวรเข่า จะช่วยลด การอักเสบ ทำให้หายเร็วขึ้น .
๑๖. แก้ถูกยาเบื่อ ใช้น้ำปุนใสขนาด ๑ ถ้วยชา กินแก้ถูกยาเบื่อ และของเมาต่างๆหาย .
(แหล่งที่มา: ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยและพระพุทธศาสนา )
http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2010/12/D10056405/D10056405.html
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. กระทรวงสาธารณสุขแถลงข่าวรณรงค์เนื่องในวันไตโลก (World Kidney Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 14 มี.ค. โดยนพ.อนุตตร จิตตินันทน์ นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในรอบ 10 ปีคนไทยมีแนวโน้มป่วยโรคไตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุใหญ่ที่สุดร้อยละ 60 เกิดจากเบาหวานและความดันโลหิตสูง 2 โรคนี้มีคนป่วยรวมเกือบ 15 ล้านคน ที่เหลือเกิดจากโรคนิ่วในไต ติดเชื้อที่ไต และเกิดจากการกินยาแก้ปวดติดต่อกันนานๆ และพบในผู้ป่วยโรคเอสแอลอี
นพ.อนุตตรกล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดพบคนไทยป่วยเป็นโรคไตร้อยละ 17.5 ของประชากร หรือประมาณ 8 ล้านคน ป่วยเพิ่มปีละกว่า 7,800 ราย มีผู้ป่วยที่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ประมาณ 40,000 ราย ต้องผ่าตัดเปลี่ยนไตใหม่หรือที่วงการแพทย์เรียกว่าปลูกถ่ายไต ขั้นตอนการรักษายุ่งยากและค่าใช้จ่ายสูงปีละประมาณ 2 แสนบาทต่อคน และยังมีข้อจำกัดหลักคือขาดแคลนผู้บริจาคไต จึงต้องรักษาเพื่อยืดอายุโดยวิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม หรือล้างของเสียออกทางหน้าท้อง ปี 2555 มีผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายไตเพียง 400 รายเท่านั้น
ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า ขณะนี้ผลิตภัณฑ์ชูรสได้ปรับจากรูปแบบเดิมที่เป็นเกล็ด ใส ที่เรียกว่าผงชูรส มาเป็นผงแป้งปรุงรสหรือซุปก้อน ซึ่งปริมาณโซเดียมในผงปรุงรสเหล่านี้สูงกว่าผงชูรสถึง 2-3 เท่าตัว เทียบในปริมาณ 1 ช้อนชา ผงชูรสมีโซเดียม 492 มิลลิกรัม ผงแป้งปรุงรสมี 815 มิลลิกรัม และซุปก้อนขนาด 10 กรัมมีโซเดียม 1,760 มิลลิกรัม ส่วนน้ำปลามี 400-500 มิลลิกรัม
“จึงขอให้ผู้ปรุงอาหารลดปริมาณเกลือ ผงชูรส เครื่องปรุงรสต่างๆ ลง และลดการบริโภคเบเกอรี่ ขนมปัง ขนมเค้ก ซึ่งจะมีผงฟูเป็นส่วนผสม รวมทั้งอาหารแปรรูป อาหารกระป๋อง อาหารหมักดอง และขนมกรุบกรอบ อาหารกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งมีสารกันบูด ผงปรุงรสผสมอยู่ จึงมีสารโซเดียมในปริมาณสูงเช่นกัน” ผศ.นพ.สุรศักดิ์กล่าว
นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดสธ. กล่าวว่า ไทยจะจัด “สัปดาห์วันไตโลก ลดเค็มครึ่งหนึ่ง” ที่โรงพยาบาลที่อยู่ในสังกัดภาครัฐพร้อมกันทั่วประเทศ วันที่ 11-17 มี.ค. เน้นให้ลดกินเค็มลงครึ่งหนึ่ง ลดการเติมเครื่องปรุงรสเค็มในอาหารให้น้อยลงกว่าที่เคยใช้ให้ได้ร้อยละ 50
ในต่างประเทศ มีการสร้างสะพานลอยสำหรับให้ปูเดินข้ามถนน
ไปวางไข่ ทำให้ไม่โดนรถเหยียบตาย ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก
บางคนอาจสงสัยว่าปูรู้ได้อย่างไรว่าต้องข้ามตรงจุดนี้??
ที่จริงๆแล้ว ตรงจุดนี้ มันข้ามประจำทุกฤดู และมันจะถูก
รถเหยียบตายนับพันตัวในแต่ละปี แต่มันก็ยังคงมาข้ามทุกปี
จึงมีการสร้างสะพาน แล้วใช้ฉากกั้นบีบทางให้ปูไปได้ทางเดียวเมื่อถึงสะพาน ก็จะทำทางลักษณะเหมือนหินที่มีรูพรุน ทำให้ปูสามารถปีนได้อย่างสบาย เหมือนไต่อยู่บนก้อนหิน
มันก็ไต่ข้ามไป พอไปหลายๆ ตัวเข้า สงสัยมันมีพฤติกรรม
คล้ายมด คือ เดินไปทางเดียวกันนั่นแหละ!!
มนุษย์..มีศักยภาพสูงสุด ในการช่วยเหลือชีวิตผู้อื่น
เว้นเสียแต่ว่า.. เขาไม่มีใจที่จะทำมันเท่านั้น!!
แล้วคุณล่ะ.. ได้เคยลงมือช่วยเหลือผู้อื่นบ้างแล้วหรือยัง??
คนเราอาจเกิดมามีอะไรไม่เท่ากันซักอย่าง ทั้งในตัวเราเอง และเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น
คนเราอาจมีเวลาอยู่บนโลกนี้มากน้อยต่างกัน บางคนมีเวลามาก บางคนมีเวลาน้อย บางคนหมดเวลาแบบน่าเสียดาย บางคนหมดเวลาแบบน่าเศร้าใจ
“แต่เราทุกคนมีเวลาในแต่ละวันเท่ากันทุกวัน”
พึงยังประโยชน์สูงสุดแด่เวลานั้นเถิด…